วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

รักษา “โรคงูสวัด” ด้วย สมุนไพรไทย ง่ายๆแต่ได้ผลจริง

โรคงูสวัด (Herpes zoster)

เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่บริเวณผิวหนังชนิดหนึ่ง ทำให้มีผื่นตุ่มขึ้นเป็นแนวยาวๆ บริเวณที่ขึ้นกันบ่อย ก็คือ แนวบั้นเอวหรือแนวชายโครง(จากสะดือถึงกลางหลัง) บางคนอาจขึ้นที่ใบหน้า แขนหรือขาก็ได้ แต่จะมีลักษณะการขึ้นคล้ายกันคือจะขึ้นเพียงซีกหนึ่งซีกใดของร่างกายเท่านั้น เช่น ซีกขวาหรือไม่ก็ซีกซ้าย
โรคนี้มักไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่บางรายหลังแผลหายแล้วอาจมีอาการปวดประสาทนานเป็นแรมปี หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้ และจากความเชื่อที่ว่า เป็นรอบเอวแล้วตาย นั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะที่เสียชีวิตอาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานโรค การรู้จักรักษาร่างกายให้แข็งแรง เสริมภูมิต้านทานโรคให้สมบูรณ์อยู่เสมอ จึงมีความสำคัญในการป้องกันโรคและระงับความรุนแรงของโรค

สาเหตุของโรคงูสวัด

เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "เชื้อวีแซดวี (varicella-zoster virus)" ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ครั้งแรก (ซึ่งมักเกิดขึ้นในวัยเด็ก) ส่วนใหญ่จะแสดงอาการของโรคอีสุกอีใส ส่วนน้อยจะไม่มีอาการแสดงให้ปรากฏหลังจากหายจากโรคอีสุกอีใสไปแล้ว เชื้อจะหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทใต้ผิวหนัง และแฝงตัวอย่างสงบเป็นเวลานานหลายปีถึงสิบๆ ปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ 

เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น อายุมาก ถูกกระทบกระเทือน มีความเครียด ทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ ติดเชื้อเอชไอวี เป็นมะเร็ง ใช้ยาต้านมะเร็งหรือยา กดภูมิคุ้มกัน เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ (เกิดอาการปวดตามแนวเส้นประสาท) เชื้อจะกระจายไปตามเส้นประสาทที่อักเสบ และปล่อยเชื้อไวรัสออกมาที่ผิวหนัง เกิดเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท ที่เป็นโรคงูสวัดจึงมักมีประวัติเคยเป็นอีสุกอีใสในวัยเด็ก หรือเคยมีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มาก่อน โดยไม่มีอาการแสดง ซึ่งสามารถตรวจพบสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ในเลือด 

อาการของโรคงูสวัด

ก่อนมีผื่นขึ้น 1-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแปลบๆ บริเวณเส้นประสาทที่เป็นงูสวัด อาจมีอาการคันและแสบ ร้อน (คล้ายถูกไฟไหม้) เป็นพักๆ หรือตลอดเวลาบริเวณ พบบริเวณชายโครง ใบหน้า แขนหรือเพียงข้างเดียว อาจทำให้คิดว่าเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อ ถ้าปวด ที่ชายโครง ก็อาจทำให้คิดว่าเป็นโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วในไต ไส้ติ่งอักเสบได้ ถ้าปวดที่ใบหน้าข้างเดียว อาจทำให้คิดว่าเป็นไมเกรน หรือโรคทางสมองได้ บางรายอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ท้องเดินร่วมด้วย ส่วนมากมีผื่นขึ้นตรงบริเวณที่ปวดแล้วกลายเป็นตุ่มใสเรียงตามแนวผิวหนังที่เลี้ยง โดยเส้นประสาทที่อักเสบ ตุ่มน้ำมักทยอยขึ้นใน 4 วันแรก แล้วค่อยๆ แห้งตกสะเก็ดใน 7-10 วัน เมื่อตกสะเก็ดและหลุดออกไป อาการปวดจะทุเลาไป รวมแล้วจะมีผื่นอยู่นาน 10-15 วัน ผู้ที่มีอายุมากอาจ มีอาการนานเป็นเดือนกว่าจะหายเป็นปกติ

โรคงูสวัด รักษาให้หายได้ด้วย สมุนไพรไทย

-ตำลึง (Coccinia grandis (L.) Voigt) ให้ใช้ใบตำลึงสด ๆ ประมาณ 2 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาผสมกับพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นงูสวัด
-เทียนบ้าน (Impatiens balsamina L.) ให้ใช้ต้นสด นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำดื่มเป็นยา ส่วนกากที่เหลือให้เอามาพอกบริเวณที่เป็น
-ผักบุ้งทะเล (Ipomoea pes-caprae (L.) R. Br.) ทั้งต้นมีสรรพคุณช่วยกระจายพิษ แก้พิษฝีบวม ฝีหนองบวมแดงอักเสบ รวมทั้งช่วยแก้งูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
-ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees) ให้รับประทานยาฟ้าทะลายโจรก่อนอาหาร 2-3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ เนื่องจากงูสวัดคือเชื้อไวรัสที่จะอยู่นาน 3 สัปดาห์ ถ้าใช้รักษาให้ครบตามเวลา ก็จะทำให้ไม่กลับมาเป็นอีก
-มันเทศ (Ipomoea batatas (L.) Lam.) ตำรายาไทยจะใช้หัวมันเทศนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกแผล รักษาเริม และงูสวัด
-รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ใบและรากมีสรรพคุณเป็นยาต้านการอักเสบต่าง ๆ เช่น อาการผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย เริม อีสุกอีใส รวมทั้งงูสวัด
-ว่านมหากาฬ (Gynura pseudochina (L.) DC.) ใช้ใบสดตำพอกรักษางูสวัด โดยใช้ใบสดประมาณ 5-6 ใบ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำในภาชนะที่สะอาด ใส่พิมเสนเล็กน้อย หรือใช้ใบโขลกผสมกับเหล้า แล้วเอาน้ำที่ได้มาทาหรือพอกบริเวณที่เป็น
-เสลดพังพอนตัวผู้ (Barleria lupulina Lindl.) เสลดพังพอนตัวผู้ ให้ใช้ใบสด (ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป) ประมาณ 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาและเอากากพอกบริเวณที่เป็น (วิธีการใช้จะเหมือนกับเสลดพังพอนตัวเมีย แต่เสลดพังพอนตัวผู้จะมีฤทธิ์ทางยาอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย ชาวบ้านจึงนิยมใช้เสลดพังพอนมาทำเป็นยาเสียมากกว่า)
-เสลดพังพอนตัวเมีย หรือ พญายอ (Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau) ให้ใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด ๆ ประมาณ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นมน ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป) นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาวคั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำมาทาและเอากากพอกบริเวณที่เป็น ส่วนตำรับยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด ๆ นำมาผสมกับดอกลำโพง และโกฐน้ำเต้า อย่างละเท่ากัน รวมกันตำให้พอแหลก แช่กับเหล้า แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด
-เหงือกปลาหมอ (Acanthus ebracteatus Vahl) ให้ใช้รากสดนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้

ชาวบ้านมักมีความเชื่อ “ถ้าเป็นงูสวัดพันรอบเอวเมื่อใด จะทำให้ตายได้ ซึ่งไม่เป็นความจริงสักทีเดียวนะครับ เพราะในคนธรรมดาที่มีภูมิคุ้มกันปกติ งูสวัดจะไม่สามารถพันรอบตัวเราจนครบรอบเอวได้ เนื่องจากแนวเส้นประสาทของตัวเราจะมาสิ้นสุดที่บริเวณกึ่งกลางของลำตัวเท่านั้น จะไม่ลุกลามเข้ามาแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่งของร่างกาย และส่วนมากก็จะขึ้นเพียงข้างเดียวเท่านั้น อีกทั้งโรคนี้ก็มีโอกาสทำให้ตายได้น้อยมาก” คือถ้าจะเป็นอันตรายจริง ๆ ก็คงเกิดจากการอักเสบซ้ำจากเชื้อแบคทีเรียจนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษเสียมากกว่า หากใครเป็นงูสวัดก็ไม่ต้องกลัวหรือตื่นตกใจไปนะครับ เพราะในปัจจุบันนี้เราสามารถรักษาโรคงูสวัดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่อย่างไรก็ตาม งูสวัดที่จะเป็นรุนแรงทั่วร่างกายหรือพันรอบตัวนั้นอาจพบได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เอดส์ ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นงูสวัดขึ้นมาก็อาจทำให้ปรากฏขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกันจนดูเหมือนงูสวัดพันข้ามแนวกึ่งกลางลำตัวไปยังอีกซีกหนึ่งของร่างกายหรือเป็นงูสวัดทั่วร่างกายได้ ซึ่งแบบนี้อาจทำให้มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ข้อมูลจาก http://health4friends.lnwshop.com

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

"ย่านาง" สมุนไพรมหัศจรรย์

                                                                  'ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ ย่านาง หมอเขียว'
"ย่านางเป็นพืชสมุนไพร ที่ใช้เป็นอาหารและเป็นยามาตั้งแต่โบราณ หมอยาโบราณภาคอีสาน
เรียกชื่อทางยาของย่านางว่า "หมื่นปี บ่ เฒ่า" แปลเป็นภาษากลางว่า "หมื่นปีไม่แก่" กระผม
พบความมหัศจรรย์ของย่านางครั้งแรก เมื่อคุณแม่ของกระผมตกเลือดจากมดลูกอย่างรุ่นแรง
หลังจากที่กระผมตัดสินใจใช้ย่านาง เป็นสมุนไพรหลักในการบำบัด อาการของคุณแม่ก็ทุเลา
อย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน เลือดหยุดไหล เมื่อใช้ย่านางบำบัดต่อเนื่องอีก 3 เดือนต่อมา
มดลูกที่โต 16 เซนติเมตร ก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ คือ เท่าผลชมพู่ ผิวมดลูกที่ขรุขระ
เหมือนหนังคางคกหายไป อาการตกขาวก็หายไปด้วย"

"ต่อมากระผมทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น เมื่อครบ 3 เดือนไปตรวจอุลตราซาวด์
พบว่ามะเร็งฝ่อลง จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง 3 เดือน อาการปวดข้อหายไป
ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์ ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบัน บอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
ได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง พบว่าสามารถลดน้ำตาล
ในเลือด และลดความดันโลหิตได้ หลังจากนั้นกระผมได้ข้อมูลจากคนแก่อายุ 77 ปี คนหนึ่งที่ดื่มน้ำย่านาง
ต่อเนื่องกัน 1 เดือน พบว่าผมที่เคยขาวกลับเปลี่ยนเป็นสีเทา และมีสีดำแซม ลูกสาวของคนแก่ดังกล่าว
เชื้อราทำลายเล็บ รักษาด้วยการทา และกินยาแผนปัจจุบันไม่หาย พอดื่มน้ำย่านางได้ 10 วัน ก็ทุเลาอย่างรวดเร็ว"

"กระผมได้ทดลองให้น้ำย่านางกับผู้ป่วยอีกหลายโรคหลายอาการไม่ว่าจะเป็นอาการไข้ขึ้น ปวดหัว ปวดเมื่อย
ตามร่างกาย ตุ่ม ผื่นคัน และอาการอื่น ๆ ก็พบว่าอาการทุเลาอย่างรวดเร็ว กระผมได้ข้อมูลจากผู้ป่วยหลายคน
ที่นำย่านางไปใช้บำบัดรักษาให้ทุเลาเบาบางหรือหายได้"

"ดังนั้น กระผมจึงได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับย่านาง เผื่อว่าย่านางอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยบำบัด บรรเทาทุกข์
จากโรคภัยไข้เจ็บของญาติพี่น้องของเพื่อนร่วมโลกได้บ้าง จากประสบการณ์ที่กระผมได้ใช้ใบย่านางกับผู้ป่วย
ใบย่านางมีฤทธิ์เย็น จึงใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการอันเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
กระผมพบว่า ใบย่านางเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้ในการป้องกัน คุ้มครองรักษา และฟื้นฟูลเซลล์ร่างกายของ
คนในยุคนี้ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน อันเนื่องมาจากผู้คนส่วนใหญ่มีความเครียดสูง
มักถูกบีบคั้น กดดันจากสภาพสังคมและเศรษฐกิจ ให้ต้องแก่งแย่งแข่งขัน เร่งรีบ เร่งร้อน สิ่งแวดล้อมก็มี
มลพิษมากขึ้น ต้นไม้ที่ให้ออกซิเจน ร่มเย็น ให้ความชุ่มชื่นก็ถูกทำลายจนเหลือน้อย โลกจึงร้อนขึ้น อาหาร
และเครื่องดื่มปนเปื้อนสารพิษสารเคมีมากขึ้น ตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นผลิตทางการเกษตร ที่ใช้สารเคมีกัน
อย่างมากมายจนถึงการปรุงเป็นอาหาร ผู้คนอยู่กับเครื่องไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยหลัก
ที่ทำให้คนเจ็บป่วยด้วยภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน"

สถานการณ์ดังกล่าวตรงกันข้ามกับเมื่อ 30-50 ปีที่ผ่านมา ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความเครียด วิถีชีวิต
เรียบง่าย สงบ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันไม่ต้องเร่งร้อนรีบเหมือนคน
ยุคนี้ สิ่งแวดล้อมมีมลพิษน้อย ป่าไม้มีมาก แม่น้ำลำธารใสสะอาด อาหารการกินไม่มีสารเคมีเจือปน
ตั้งแต่กระบวนการผลิตทางการเกษตร จนถึงกระบวนการปรุงอาหารก็ไร้สารพิษ ปรุงแต่น้อย รสไม่จัดจ้าน
เครื่องไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยมี ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนั้น จึงมักมีภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน

อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุบแบบร้อนเกิน ซึ่งสามารถใช้ใบย่านางปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาได้
มีดังต่อไปนี้
+ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น เหนียว หรือไม่ค่อยมีขี้ตา
+มีสิว ฝ้า
+มีตุ่มแผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ
+นอนกรน ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย
+ผมหงอกก่อนวัย รูขุมขนขยายโดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
+ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว
+มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เส้นเลือดฝอยแตก ใต้ผิวหนัง มีรอยจ้ำเขียวคล้ำ
+ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ
+กล้ามเนื้อเกร็งค้าง กดเจ็บ เป็นตะคริวบ่อย ๆ
+ผิวหนังผิดปกติคล้ายรอยไหม้ เกิดฝึหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย
+ตกกระสีน้ำตาลหรือสีดำตามร่างกาย
+ท้องผูก อุจจาระแข็ง หรือเป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายขี้แพะ บางครั้งมีท้องเสียแทรก
+ปัสสาวะมีปริมาณน้อย สีเข้ม ปัสสาวะบ่อย แสบขัด ถ้าเป็นมาก ๆ จะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมา
กับปัสสาวะด้วย มักลุกปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี 2 (คนร่างกายปกติ สมดุล จะไม่ตื่นปัสสาวะกลางดึก)
+ออกร้อนท้อง แสบท้อง ปวดท้อง บางครั้งมีอาการ ท้องอืดร่วมด้วย
+มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดงคัน หรือมีตุ่มใสคันเป็นเริม งูสวัด
+หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น สีเหลืองหรือสีเขียว บางทีเสมหะพันคอ
+โดยสารรถยนต์มักอ่อนเพลีย และหลับขณะเดินทาง
+เลือดกำเดาออก
+มักง่วงนอนหลังกินข้าวอิ่มใหม่ ๆ เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด ไหล่ติด
+เล็บมือ เล็บเท้า ขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย มีสีน้ำตาลหรือดำคล้ำ อักเสบบวดแดงที่โคนแล็บ
+หน้ามืด เป็นลม วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน มักแสดงอาการเมื่อยอยู่ในที่อับ หรืออากาศร้อน
หรือเปลี่ยนอิริยาบถเร็วเกิน หรือทำงานเกินกำลัง
+เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟฟ้าช๊อต หรือร้อนเหมือนไฟเผาตามร่างกาย
+อ่อนล้า อ่อนเพลีย แม้นอนพักก็ไม่หาย
+รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก
+เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมาก ถ้าเป็นมาก ๆ จะเจ็บแปลบที่หน้าอก และอาจร้าวไปที่แขน
+เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง
+หิวมาก หิวบ่อย หูอื้อ ตาลาย ลมออกหู หูตึง
+ส้นเท้าแตก ส้นเท้าอักเสบ เจ็บส้นเท้า รองช้ำ ออกร้อน บางครั้งเหมือนไฟช็อต
+เกร็ง ชัก
+โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน ได้แก่ โรคหัวใจ 
+เป็นหวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ
ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วไต
นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต โรคเกาต์ ความดันโลหิตสูง
เนื้องอก มะเร็ง พิษของแมลงสัตว์กัดต่อย

วิธีใช้
ใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิล คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์  ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่
เกิดจากภาวะไม่สมดุล แบบร้อนเกิน ดังนี้

 - เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว (200-300 ซี.ซี.)
 - ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
 - ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอม บาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
 - ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
โดยใช้ใบย่านางสดโขลกให้ละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือ ขยี้ใบย่านางกับน้ำ หรือปั่นในเครื่องปั่น
(แต่การปั่นในเครื่องไฟฟ้าจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็น
ของย่านาง) แล้วกรองผ่าน กระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหาร
ตอนท้องว่าง หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำเปล่า ในอุณหภูมิห้องปกติ ควารดื่มภายใน 4 ชั่วโมง หลังจาก
ทำน้ำย่านาง เพราะถ้าเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ไม่เหมาะที่จะดื่ม จะทำให้เกิดภาวะร้อนเกิน
แต่ถ้าแช่ในน้ำแข็งหรือตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตุกลิ่นที่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นหลักฯลฯ

หมายเหตุ สำหรับท่านที่ไม่ค่อยได้รับประทานผักสด ร่างกายก็จะขาดวิตามิน และคลอโรฟิล ในใบย่านาง
มีวิตามิน คลอโรฟิลคุณภาพดี มีพลังสด พลังชีวิตประสิทธิภาพสูง ในการปกป้อง คุ้มครองและฟื้นฟูเซลล์
ของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม หลายครั้งที่การดื่มสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหา
สุขภาพ ก็ควรจะทำอย่างอื่นเสริมในการปรับสมดุลร้อนหรือเย็นของร่างกายด้วย จะทำให้ประสิทธิภาพ
ในการดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพดียิ่งขึ้น เช่น การปรับสมดุลด้านอิทธิบาท อารมณ์ อาหาร ออกกำลังกาย
อากาศ เอนกาย และเอาพิษออก ซึ่งรายละเอียดของการปรับสมดุลร้อน-เย็น สามารถศึกษาเพิ่มเติม
ได้ในหนังสือถอดรหัสสุขภาพ ร้อน-เย็น ไม่สมดุล โดยใจเพชร มีทรัพย์ (หมอเขียว)
****ถ้าไม่มีใบย่านางหรือร่างกายไม่ถูกกับย่านาง ก็สามารถใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นตัวอื่น ๆ แทนได้

ตัวอย่าง ประสบการณ์ของผู้ป่วย (บางส่วน) ที่ใช้ใบย่านางแก้ไขปัญหาสุขภาพ จนมีผลให้อาการเจ็บป่วย
เบาบางลง

(1) นางครั่ง มีทรัพย์ อายุ 53 ปี 28 หมู่ 7 ตำบล ดอนตาล อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร
เป็นเนื้องอกที่มดลูก มดลูกโต ตกเลือด ตกขาว มึนชา ปวดตามร่างกาย ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัว
แก้ภาวะร้อนเกิน อาการทุเลาตามลำดับ หลงจากปฏิบัติได้ 3 เดือนอาการ ดังกล่าวหายไป

(2) นางสมนึก ห้องแซง อายุ 67 ปี 51/386 หมู่ 1 ตำบลนิคมคำสร้อย อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร
เป็นมะเร็งปอดดื่มน้ำย่านาง พร้อมปรับสมดุลร้อน-เย็น ภายใน 3 เดือนผ่านไป อาการทุเลาลงมาก ไปทำ
อุลตร้าซาวด์ พบว่าก้อนมะเร็งฝ่อลง

(3)นางทองจีน ยิ้มใส่ อายุ 55 ปี 175 หมุ่ 12 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นมะเร็งตับ
ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฎิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกิน 3 เดือนผ่านไป อาการทุเลาลงมาก ไปตรวจอุลตราซาวด์
พบว่าก้อนมะเร็งฝ่อลง

(4)นางผัน ถนอมบุญ อายุ 45 ปี 109 หมู่ 10 ตำบลจานลาน อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ
เป็นมะเร็งมดลูก ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกินได้ 2 สัปดาห์ อาการทุเลาลงมาก
พอได้ 2 เดือน ไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบเซลล์มะเร็ง

(5)นางสาวสงัด สีน้ำเงิน อายุ 58 ปี 442 หมุ่ 1 ตำบลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
เป็นโรคหัวใจ โรคไต โรคกระเพาะ อาหารอักเสบ เนื้องอกที่เต้านม ดื่มน้ำย่านางพร้อมกับปฏิบัติตัว
แก้ภาวะร้อนเกิน 1 เดือน อาการทุเลาลงมาก เนื้องอกที่เต้านมยุบหายไป

(6)นางอัมพร ทองด้วง อายุประมาณ 40 ปี 149 หมู่ 12 ตำบลโพธิ์ไทร อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร
มีอาการปัสสาวะแสบขัดออกร้อนในทางเดินปัสสาวะ เป็นมา 2 ปีเศษ ๆ รักษาที่คลินิก และโรงพยาบาล
หลายแห่งไม่ดีขึ้น เมื่อดื่มน้ำย่านางผสมใบเตยและผักบุ้งอาการทุเลาอย่างมากภายใน 3 วัน ดื่มต่อเนื่อง
ได้ 3 สัปดาห์ ก็หายขาด

(7)นางสมัย เนากำแพง อายุ 42 ปี 196 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
เป็นไตอักเสบเรื้องรังมา 5 ปี เมื่อดื่มน้ำย่านางและปฏิบัติตัวแก้ภาวะร้อนเกินได้ 7 วัน อาการทุเลาจนเป็นปกติ

(8)นายดาว เนากำแพง อายุประมาณ 45 ปี 196 ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
นอนกรนเป็นประจำ พอดื่มน้ำย่านางพร้อมกับรับประทานอาหารฤทธิ์เย็นอาการก็หายไปภายในหนึ่งสัปดาห์

(9)ชาวไร่อ้อยคนหนึ่งที่จังหวัดนครราชสีมา หลังจากตัดอ้อยจำนวนหลายไร่ มีอาการปวดที่แขน กินยา
แผนปัจจุบันติดต่อกันเป็นเดือนยังไม่ทุเลา พอดื่มน้ำย่านางอาการก็ทุเลาลง จนหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์

(10)คุณตู่ เจ้าของร้าน่อานนท์ประดับยนต์ 344/1 หมู่ 5 ถนนศรีสะเกษ-ขุขันธ์ ตำบลหนองครก อำเภอเมือง
จังหวัดศรีษะเกษ เล็บมือผุ ถูกทำลายลุกลามไปครึ่งเล็บ ไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันบอกว่าเป็นเชื้อรา
ให้ยาแผนปัจจุบันมารับประทานพร้อมยาทา เป็นเวลา 16 ปี อาการไม่ทุเลา จึงหยุดยาแผนปัจจุบัน
ทดลองดื่มน้ำย่านางได้ 15 วัน อาการเริ่มทุเลา ดื่มได้ 1 เดือน อาการดีขึ้นตามลำดับเกือบเป็นปกติ

(11)นางจำปา สุวะไกร อายุ 33 ปี 106 หมู่ 5 ตำบลคึมใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ
เป็นโรคกระเพาะอาหาร-ลำไส้อักเสบ ไขม้นพอกตับและตกขาวเรื้อรัง กินยาแผนปัจจุบันอาการไม่ทุเลา
เมื่อดื่มน้ำย่านาง กินหญ้าปักกิ่ง กล้วยดิบและขมิ้น และกินอาหารฤทธิ์เย็น สวนล้างลำไส้ใหญ่
อาการทุเลาลงภายใน 5 วัน เมื่อทำต่อเนื่องอาการต่าง ๆ ดีขึ้นตามลำดับ จนได้ 2 ปี ไปตรวจที่โรงพยาบาล
ไม่พบไขมันพอกตับ

ที่มา http://health4friends.lnwshop.com/

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

“ปอกะบิด” รักษาเบาหวาน แต่ทำลายตับ

กรมแพทย์แผนไทยฯ ชี้คนฮิตกิน “ปอกะบิด” รักษาเบาหวาน แต่ทำลายตับ

  ปอกะบิดมีข้อควรระวังคือ หากกินติดต่อกันนานๆ จะมีผลทำลายตับ ชี้หากกินสมุนไพร
ไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 7 วัน แนะกินเป็นอาหารแทน เช่น ผักแกล้ม น้ำคั้น
แต่ต้องสับเปลี่ยนสมุนไพรบ่อยๆ

นางเสาวณีย์ กุลสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมพัฒนา
การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงกรณีการนิยมนำสมุนไพร
“ปอกะบิด” มาใช้รักษาโรคเบาหวาน แต่พบผู้ป่วยบางรายมีอาการไตวาย ว่า
ตามตำราการแพทย์แผนไทย สมุนไพร “ปอกะบิด” สารสำคัญจะอยู่ที่ราก และเปลือก
เมื่อทบทวนตำรายาในต่างประเทศ มีหลายประเทศนำมาใช้ เช่น อินเดีย
ใช้รากผสมขมิ้นรักษาแผล อินโดนีเซีย ใช้รักษากระเพาะอาหาร พยาธิตัวตืด
ประเทศแถบมลายู บำรุงสุขภาพเด็กแรกเกิด เป็นต้น ส่วนงานวิจัยพบว่า ปอกะบิด
มีผลในการรักษาเบาหวาน สามารถลดน้ำตาลในหนูทดลองได้ แต่มี
ผลข้างเคียงคือสามารถทำลายตับหนูได้ และเกิดการกระตุ้นหัวใจในกบ

นางเสาวณีย์ กล่าวอีกว่า สมุนไพรดังกล่าวยังไม่มีงานวิจัยด้านพิษวิทยา
แต่มีงานวิจัยด้านเภสัชศาสตร์ โดย รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล ภาควิชา
เภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า แม้ปอกะบิด
จะมีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถ
ทดแทนยารักษาเบาหวานได้จริง และผู้ที่จะใช้ตรวจภาวะการทำงานของตับไต
อย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน และห้ามใช้ในผู้ที่มีประวัติ หรือแม้แต่ครอบครัว
มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไต

“ผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีตับอ่อน ไต หัวใจ ไม่แข็งแรง และเสี่ยงเกิดโรคแทรกซ้อนได้
หากดูแลสุขภาพไม่ดี ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรเป็นยานั้นไม่ควรกินเกิน 7 วัน
เพราะปริมาณสารเคมีจากสมุนไพรควบคุมได้ยาก หากจะใช้สมุนไพรใน
การรักษาโรคไม่ควรกินต่อเนื่อง หรือเลือกกินอาหารเป็นยาแทน เพราะ
ปริมาณความเข้มข้นของสมุนไพรที่ได้จะมีความเข้มข้นต่างกัน เช่น
กินผักแกล้ม หรือน้ำคั้น เช่น ใบกะเพรา ใบบัวบก ก็มีฤทธิ์ลดน้ำตาลได้เช่นกัน
แต่ต้องใช้หลักการเดียวกันคือ สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ให้เกิดความเสี่ยง
จากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้” นางเสาวณีย์กล่าว

มาเนเจอร์ ออนไลน์ 
cr : health4friends.lnwshop.com

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

หญิงวัย62ปี รักษามะเร็งด้วยนำ้ต้มใบมะละกอสด

มะเร็งกับนำ้ต้มใบมะละกอสด
  สตรีวัย62ปี ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ไม่สามารถเข้ารักการผ่าตัดได้
เนื่องจากสภาพหัวใจไม่เอื้ออำนวย คณะแพทย์จึงแนะนำให้เธอดื่ม นํ้าต้มใบมะละกอสด
เวลาผ่านไป 5-6 วัน อาการปวดของเธอบรรเทาลง และอีก 3 เดือนต่อมา อาการท้องอืด
และอาการอาเจียนก็หายไป และเมื่อดื่มครบ 1 ปี เนื้องอกก็หายไป โดยไม่เหลือร่องรอย

วิธีทำนำ้ต้มใบมะละกอ
- เลือกใบมะละกอที่ไม่อ่อนและไม่แก่เกินไป 5-7 ใบ นำไปล้างให้สะอาด 
- หั่นใบมะละกอดิบตามขวางเป็นเส้นๆ (ยิ่งหั่นละเอียด สารสำคัญในใบยิ่งออกมาง่าย)
- เอาใบที่หั่นฝอยแล้วลงไปต้มในนำ้ 2 ลิตร ตั้งไฟอ่อนๆ ต้มไปจนเหลือนำ้ 1ใน3
- เอานำ้ที่ได้มากรอง ใส่ขวดปิดฝาให้สนิท แช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้ 3-4 วัน
- ดื่มครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง ตอนท้องว่าง 

ปล. สมุนไพรแต่ละตัวมีการตอบสนองต่ออาการมะเร็งในผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน
จึงควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล

cr  Forwarded Line   
 นานาสาระเพื่อสุขภาพ แพทย์แผนไทย
ที่มา : health4friends.lnwshop.com

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วิธีรักษาแผลโรคเบาหวานให้ทุเลาลง (ตำรับยา เรียกเนื้อ)

 วิธีรักษาแผลโรคเบาหวานให้ทุเลาลง (ตำรับยาเรียกเนื้อ)
1. น้ำมันมะพร้าว 1000 ซีซี หรือ 1 ลิตร
2. ไข่แดงของไข่เป็ดเบอร์ 0 (4-6 ฟอง)
3. เนื้อลูกหมากสดแก่ๆ 2 ลูก
4. สารส้มสตุค่ะ 1 หัวแม่โป้ง

  วิธีทำยา
* ใช้ผ้าขาวบาง ปูบนชามแกง
* เอาไข่แดงที่แยกเรียบร้อยแล้ว ใส่ลงบนผ้าขาวบาง แล้วตีให้เป็นเนื้อเดียวกันเบาๆ
* ทุบเนื้อหมาก ให้แตกๆ ใส่ลงไปในผ้าขาวบางที่มีไข่ตีแล้ว
* ใส่สารส้มสตุ ลงไป แล้วผูกผ้าขาวบางให้เรียบร้อย
* เอาน้ำมันมะพร้าวตั้งไฟอ่อนๆ
* เอาผ้าขาวบาง หย่อนลงไป
* รอจนน้ำมันมะพร้าวเดือดปุดๆ แล้วมีน้ำมันไข่แดงออกมา
* สังเกตว่าจะเริ่มมีฟอง ก็ใช้ได้
* น้ำมันยาที่ได้จะมีสีเหลืองๆ อมส้ม
* เอาน้ำมันที่ได้ กรอกใส่ขวดไว้เป็นยาใส่แผล

  ข้อดีของยาตำรับนี้
การใส่แผลด้วยยาจากน้ำมันมะพร้าวผสมไข่แดง คือ...ไม่ต้องล้างและคว้านแผล
ดังนั้น แผลจะค่อยๆดูดน้ำมันยา เข้าไปหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูแผล ตัวที่ประสานแผลคือหมาก
สารส้มจะมีฤทธิ์ช่วยดูดหนอง ไข่แดงคือเลซิตินที่ทำให้เซลส์ประสาทงอกขึ้นมาและดึง
ออกซิเจนเข้าแผลได้มากยิ่งขึ้นแผลจะตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วไม่เป็นแผลเป็น
การดูแลผู้ป่วยมีแผลเบาหวาน โดยไม่ต้องไปปลูกถ่ายสเตมเซลส์ ก็ลองวิธีนี้ดูนะครับ
รักษาดีกว่าแผนปัจจุบันที่ต้องขูดแผล ล้างแผลทุกวัน..วิธีนี้ล้างครั้งแรก แล้วหยอดยาได้ตลอด
แผลจะค่อยๆตื้นขึ้นมา

ขอขอบคุณ : คุณหมอปรียาภา กำเนิดสิงห์
ที่มา : health4friends.lnwshop.com

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ใบยอ ย่างไฟ..รักษาโรคเกาต์

 ใบยอ ย่างไฟ รักษาโรคเกาต์ได้

ผลงานวิจัยโดยแพทย์แผนไทยศรีสะเกษ ได้ศึกษาวิจัยการบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
และอาการอักเสบจากโรคเก้าต์ โดยการใช้ใบยอ ย่างไฟ ใครที่มีปัญหาเรื่องปวดข้อ กล้ามเนื้อ
ใช้ยาแก้ปวดไปวันๆก็ไม่หายขาดสักที ก็ลองใช้วิธีนี้จากสมุนไพรพื้นบ้านของเราเอง
นางสาวณัฏฐณิชา ธรรมวัตร แพทย์แผนไทยประจำโรงพยาบาลศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ ให้สัมภาษณ์ว่า
ได้ศึกษาวิจัยการบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอาการอักเสบจากโรคเก้าต์ โดยการใช้ใบยอ ย่างไฟ
เนื่องจากวิธีเดิมในการบรรเทารักษาอาการปวดกล้ามเนื้อและอักเสบจากโรคเกาต์ ผู้ใช้แรงงาน ออกแรงกล้ามเนื้อ
เกินกำลังหรือออกติดต่อกันเป็นเวลานาน จะใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นประคบบริเวณที่มีการอักเสบภายใน 24 ชั่วโมง
และอาจใช้ยาทาเพื่อลดการอักเสบเฉพาะที่ เพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้ออย่างเฉียบพลัน ที่โรงพยาบาล
ศิลาลาด มีผู้ป่วยกลุ่มนี้ใช้บริการเฉลี่ยเดือนละ 160 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน อายุ 35-60 ปี เข้ารักษา
เฉลี่ยปีละ 6 ครั้งต่อคน ผู้ป่วยบางคนมีอาการปวดกล้ามเนื้อมากต้องใช้บริการถึงเดือนละ 2 ครั้ง จึงได้คิดค้น
วิธีการบรรเทาอาการปวดที่ประชาชนสามารถทำได้เอง โดยนำสมุนไพรพื้นบ้าน คือ ใบยอ ที่ใช้ทำห่อหมก
ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ทุกครอบครัวจะมีปลูกไว้ที่บ้านและหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดมาเป็นวัตถุดิบสำคัญ
ในการรักษาเนื่องจากใบยอมีสรรพคุณแก้ไข้ลดปวด ลดบวม อาการเคล็ดขัดยอก อาการปวดในข้อ
กล้ามเนื้อแพลง แก้โรคเกาต์ ปวดตามข้อเล็กๆ ของนิ้วมือได้

      วิธีการรักษาโรคเกาต์โดยใช้ ใบยอ ย่างไฟ

 วิธีการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อนั้น จะนำใบยอ 5-10 ใบ มาล้างให้สะอาด แล้วนำไปย่างบนเตาถ่านด้วย
ไฟอ่อนประมาณ 1 นาที พร้อมโรยเกลือเล็กน้อยให้ทั่วใบยอ เพื่อเพิ่มการดูดซึมของสารในใบยอ ให้มากขึ้น
หลังจากนั้นนำผ้าสะอาดมาวางบริเวณที่มีอาการปวดหรืออักเสบ และวางใบยอที่ย่างไฟแล้ววางทับผ้าตาม
เพื่อป้องกันความร้อนจากใบยอถ่ายเทลงผิวหนังมากเกินไป ทับนานครั้งละ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
ใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น

      ผลทดสอบใบยอย่างไฟ กับการรักษาโรคเกาต์

จากการติดตามผลการทดสอบใช้ใบยอย่างไฟใช้กับผู้ป่วยโรคเกาต์ 11 ราย ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ
บวมและอักเสบ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 – มิถุนายน 2557 พบว่า อาการปวดและอักเสบกล้ามเนื้อของกลุ่มผู้ป่วย
โรคเกาต์ทั้ง 11 ราย ลดลงถึง 10 รายที่มีอาการบวมตามข้อต่างๆ คิดเป็นร้อยละ 99 ส่วนกลุ่มผู้มีอาการปวด
กล้ามเนื้อ ได้ใช้ใบยอ ย่างไฟ รักษา 57 ราย พบว่า 48 ราย มีอาการปวดลดลง รู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
คิดเป็นร้อยละ 84 โดยผู้ที่อาการปวดไม่ลดลง พบว่า ไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีเวลา ไม่มีคนดูแลและ
ไม่มีคนช่วยหาวัสดุ
ใบยอ ย่างไฟ วิธีการรักษาอาการปวดและอักเสบของกล้ามเนื้อด้วยใบยอนี้ ประชาชนสามารถทำเอง
ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพึ่งยา ไม่เสียค่าใช้จ่าย หากมีใบยอปลูกอยู่ที่บ้านแล้ว หากไม่มีก็สามารถหาซื้อได้ง่ายตาม
ท้องตลาด ซึ่งราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ รวมถึงเป็นการพัฒนาสมุนไพรในชุมชน
ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นด้วย

    ใบยอ ประโยชน์ อื่นๆที่มีคุณค่า น่าศึกษาไว้

(1) ใบยอ ใบสด ใช้ห่อเนื้อและทำให้เนื้อมีรสยอ ใช้ทำอาหาร เช่น ห่อหมก ใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ หรือเลี้ย
งตัวหนอนไหม แก้แผลพุพอง รักษาอาการปวดศีรษะ หรือไข้
(2) ใบยอทำยาพอก รักษาโรคมาลาเรีย แก้ไข้ แก้ปวด รักษาวัณโรค อาการเคล็ดยอก แผลถลอกลึกๆ
อาการปวดในข้อ แก้ไข้ แก้พิษจากการถูกปลาหินต่อย แก้กระดูกแตก กล้ามเนื้อแพลง
(3) น้ำสกัดใบยอ รักษาความดันโลหิตสูง เลือดออกที่เกิดจากกระดูกร้าว แก้ปวดท้อง เบาหวาน เบื้ออาหาร
ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่องท้องบวม ไส้เลื่อน อาการขาดวิตามินเอ
-----------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : health4friends.lnwshop.com

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

10 สัญญาณของคนวัยทอง

วัยทองมาถึงทุกคนไม่พร้อมกัน ของผู้หญิงจะเร่ิมตั้งแต่ก่อนหมดประจำเดือน ส่วนใหญ่มักอยู่ในช่วงอายุ 45-50 ปี ผู้หญิงเมื่ออายุราว 40 ปีฮอร์โมนเพศจะเริ่มลดลง ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ร่างกายก็เริ่มปรับ เปลี่ยน วันนี้พยาบาลขอนำสัญญาณวัยทองของผู้หญิงมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เตรียมรับมือ สัญญาณเหล่านี้ได้แก่..
- ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมาก บางทีตามด้วยหนาวสั่น มักมีอาการช่วงกลางคืน
- อารมณ์แปรปรวนใจน้อย ร้องไห้ง่าย กลุ้มใจ ตกใจง่าย ซึมเศร้า หดหู่ ไม่มีสมาธิ
- นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นกลางคืน
- ผมร่วง หนังศีรษะบาง
- ผิวบอบบาง ผิวแห้งหยาบกร้าน ริมฝีปากแห้ง กระ ฝ้า ขึ้นง่าย
- กล้ามเนื้อหดตัว ลีบลง ทำให้อ่อนล้า ปวดเมื่อยร่างกาย เคลื่อนไหวช้าลง
- ขนาดเต้านมเล็กลง เนื่องจากปริมาณไขมันและต่อมนำ้นมลดจำนวนลง
- ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ดเมื่อไอหรือจาม เนื่องจากระบบควบคุมปัสสาวะหย่อนยานลง
- ความจำสั้น หลงลืมง่าย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
- สายตายาว
- เล็บเปราะ แห้งกร้าน แตกหักง่าย
- เบื่ออาหาร การย่อยอาหารและเผาผลาญทำได้น้อยลง เกิดไขมันสะสมที่หน้าท้อง
- ระบบสืบพันธ์ุปรับเปลี่ยน มดลูกเล็กลง ช่องคลอดแคบและบาง ขาดนำ้หล่อลื่น ทำให้เจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และเกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย
วัยทองเป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดขึ้นกับทุกคน เราสามารถรับมือกับวัยทองอย่างฉลาดโดยเริ่มกิจวัตรที่เอาใจใส่ร่างกายช่วงเปลี่ยนผ่านของเราเช่น..
..ออกกำลังกายเพื่อรักษากล้ามเนื้อทุกส่วนให้กระชับ 
..กินและดื่มเฉพาะของที่มีประโยชน์กับร่างกาย 
..ลด ละ เลิก สิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ 
..พยายามพักผ่อนให้เต็มที่ 
..และฝึกสติรู้เท่าทันเมื่อมีเกิดอาการทางกายหรือทางใจเหล่านี้...
รู้ไว้ก่อน เพื่อเตรียมตัวก่อน จะได้ไม่เผลอกลุ้มใจหรือตกใจนะคะ
อ้างอิง เฟส Lek Sawaros
Cr : http://health4friends.lnwshop.com/