วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ค่าตัวเลขจากการตรวจตับ SGOT,SGPT คืออะไร

ค่าตัวเลขการตรวจตับ
AST หรือ SGOT คือเอนไซม์ที่ประกอบด้วยโปรตีนที่ตับสร้างขึ้น มีค่าปกติอยู่ที่ตัวเลขไม่เกิน 40 mg/dl เอนไซม์ตัวนี้อาจหลั่งสูงกว่าปกติเมื่อตับทำงานผิดปกติอันเกิดจาก เครียดเรื้อรัง พักผ่อนไม่พอจนเกิดอาการอ่อนเพลีย ดื่มสุราจัด โรคโลหิตจางเรื้อรัง ไขมันจับตับ ไขมันและ/หรือน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง มะเร็งตับ โรคดีซ่าน และการใช้ยาบางชนิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เป็นต้น การแก้ไขก็คือลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเกิดปัญหาดังกล่าวโดยเร็วแล้วค่า SGOT ก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว หรือปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาโรคเหล่านั้นให้หายขาดโดยเร็ว

ALT หรือ SGPT คือเอนไซม์ที่ประกอบด้วยโปรตีนที่ตับสร้างขึ้น มีค่าปกติอยู่ที่ตัวเลขไม่เกิน 40 mg/dl เอนไซม์ตัวนี้อาจหลั่งสูงกว่าปกติเมื่อเกิดอาการผิดปกติขึ้นที่ ตับ หัวใจ ไต กล้ามเนื้อลาย ซึ่งทางการแพทย์สามารถใช้ค่า SGPT ติดตามผลทางพยาธิสภาพที่เปลี่ยนแปลงของอวัยวะเหล่านั้นได้
ในกรณีที่วัดค่า SGOT ปกติแต่ค่า SGPT สูงกว่าปกติอาจวินิจฉัยได้ว่าตับปกติ แต่อาจเกิดอาการผิดปกติขึ้นที่หัวใจ ไต หรือกล้ามเนื้อลายได้ ทางที่ดีควรพบแพทย์เพื่อตรวจให้ละเอียด

เมื่อตับเกิดโรคมีการทำลาย หรือการอักเสบของเนื้อตับ จะทำให้มีการหลั่งเอนไซม์ SGOT, SGPT ออกมาสู่กระแสเลือดมากขึ้น ทำให้ตรวจพบมีระดับสูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งระดับเอนไซม์ SGOT, SGPT จะผิดปกติ ให้พบได้ไวมาก

ทั้ง SGOT(AST) SGPT(ALT) และ ALK phos. คือ indicator ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อใช้ติดตามการทำงานของอวัยวะต่างๆว่าทำงานได้ปกติดี หรือไม่ ควรจะตรวจค่าเหล่านี้ทุก 6 เดือนยิ่งอายุมากยิ่งควรตรวจให้บ่อย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการตรวจที่มีความไวมาก จึงอาจพบผลผิดปกติได้เล็กน้อยบ้างในคนทั่วไป จึงควรมีการกรองผล ดังนี้
1. ค่า SGOT, SGPT ที่สูงกว่าปกติ ไม่มากกว่า 1.5 เท่า อาจพบได้ในคนปกติ เพราะฉะนั้น ความผิดปกติเล็กน้อยในผู้ที่ไม่มีอาการ อาจไม่มีความสำคัญ
2. ค่า SGOT, SGPT อาจจะสูงกว่าปกติในคนที่อ้วน เนื่องจากคนอ้วนมักจะมีไขมันเกาะที่ตับ ซึ่งพบว่าเมื่อน้ำหนักปกติ ค่า SGOT และ SGPT ก็จะปกติ

สำหรับโรคที่ทำให้ค่า SGOT, SGPT สูง ได้แก่
• ตับอักเสบจากไวรัส
• ตับอักเสบจากการดื่มสุรา
• ตับอักเสบจากยา หรือสมุนไพร
• เนื้องอกในตับ
• ไขมันพอกตับ


จาก ไทยเด้นท์ออสดอทคอม
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com

ค่าตัวเลขจากการตรวจไต , BUN และ Cr คืออะไร

BUN และ Creatinine หรือที่มักจะเขียนย่อๆ ว่า Bun, Cr   

  ค่า BUN และ Cr คือค่าไต ถ้าค่าไตสูงกว่าปกติไม่ได้แสดงว่าไตไม่ดี จริงๆ แล้วค่า BUN สูงไม่ได้หมายความว่าคนๆ นั้นจะเป็นโรคไตเสมอไป แต่ยังมีสาเหตุอันหลากหลายที่อาจทำให้ค่า BUN ขึ้นได้ วงการแพทย์จึงต้องมีการคำนวณเพื่อจำแนกดูว่าคนป่วยน่าจะมีค่า BUN สูงเนื่องมาจากภาวะไตเสื่อมหรือไม่

โดยทั่วไปแล้ว
BUN > 20 , Cr > 1.0 ในคนหนุ่มสาว, Cr > 1.5 ในคนสูงอายุ
ถ้าสงสัยว่าอาจมีปัญหาเรื่องไต ให้ใช้สูตรคำนวณดังนี้


สูตร BUN/Cr   

              ถ้ามากกว่า 10 : ปัญหาไม่น่าจะมาจากไต
              ถ้าน้อยกว่า 10 : ปัญหาน่าจะมาจากไต

       ในภาวะปกติที่เรากินอาหาร ประเภทโปรตีน โปรตีนจะถูกย่อยสลายได้ของเสียสุดท้ายออกมาเป็นสารกลุ่มยูเรียและไนโตรเจน ที่จะต้องถูกขับออกโดยการส่งไปตามกระแสเลือดไปที่ไต เพื่อให้ไตกรองของยูเรียออกมา ส่วนที่ยังกรองไม่หมดก็จะตกค้างอยู่ในกระแสเลือด เราจึงเรียกยูเรียและไนโตรเจนที่อยู่ในเลือดว่า Blood Urea Nitrogen หรือตัวย่อก็คือ BUN นั่นเอง

     ส่วนค่า Creatinine หรือ Cr นั้น เป็นโปรตีนกลุ่มพิเศษที่มีที่มาหลายที่ แต่ส่วนใหญ่มากจากอาหารและการย่อยสลายของกล้ามเนื้อ ซึ่งประมาณกันว่าคนทุกคนในภาวะปกติที่ไม่ได้ขาดสารอาหารหรือบาดเจ็บจะมีการ สูญสลายของกล้ามเนื้อในอัตราคงที่ เช่นเดียวกัน Cr นั้นเองก็จะถูกขับออกมาทางไตเช่นกัน

      ในกรณีที่มีค่า BUN เด่นผิดปกติ แต่ค่า Cr ไม่ค่อยขึ้นสูง สามารถอธิบายได้ดังนี้คือ ในบางกรณีที่มีการกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์และโปรตีนเข้าไปมาก ทำให้ไตไม่สามารถขับ BUN ออกมาได้ทัน กรณีเช่นนี้จะทำให้เกิดการคั่งของ BUN ในกระแสเลือด เมื่อเจาะเลือดจึงพบค่า BUN ที่สูงผิดปกติ แต่ทางตรงกันข้าม การย่อยสลายกล้ามเนื้อของคนคนนั้นยังคงเท่าเดิมอยู่ ประกอบกับไตของเราก็ยังคงสามารถขับ Cr ออกมากกับปัสสาวะได้เหมือนเดิม จึงไม่ทำให้ค่า Cr ปกติมากนัก ดังนั้นเมื่อเจาะเลือดดู จะพบว่าค่า Cr ยังคงปกติ เทียบสัดส่วนที่ BUN ปกติแล้วจึงมากกว่าค่า Cr มาก ถ้ามากพอเมื่อเอามาคำนวณกับสูตรก็จะได้ค่า BUN/Cr มากกว่า 10 ด้วยเหตุเช่นนี้นี่เอง

   ยังมีอีก 2-3 สาเหตุที่ทำให้ค่า BUN ขึ้นได้โดยที่ค่า Cr ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เช่น อาการขาดน้ำ, การมีเลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นต้น แต่สาเหตุส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ เพราะไม่ได้มาจากเนื้อไตที่เสื่อมลง

      แต่ถ้าสาเหตุนั้นมาจากภาวะไต เสื่อมหรือไตวาย เปรียบง่ายๆ ก็คือหม้อกรองน้ำของเราเสียหรือไส้กรองอุดตัน ในกรณีเช่นนี้แม้ว่าเราจะกินโปรตีนในปริมาณปกติ แต่ร่างกายไม่สามารถขับ BUN ออกไปได้เลย เมื่อเจาะเลือดดูก็จะพบว่าค่า BUN ก็จะขึ้นสูงได้เช่นกัน แต่เนื่องจากหม้อกรองของเราเสีย ดังนั้นก็จะไปมีผลทำให้ร่างกายไม่สามารถขับ Cr ที่ย่อยสลายออกมาจากกล้ามเนื้อออกไปได้ ในกรณีเช่นนี้ เมื่อเจาะเลือดดูก็จะพบว่าค่า Cr ก็จะสูงขึ้นด้วย เพราะเกิดการคั่งของ Cr ในกระแสเลือด เมื่อเอาไปคำนวณตามสูตร BUN/Cr ก็จะพบว่า BUN สูงขึ้นก็จริง แต่ด้วย Cr ที่สูงขึ้นด้วย จึงทำให้ผลการคำนวณมีค่าออกมาน้อยกว่า 10 นั่นเอง

      เมื่อทราบดังนี้แล้ว ใครที่เริ่มมีค่า BUN ขึ้นสูง แล้วทราบว่า BUN/Cr ยัง มากกว่า 10 อยู่ก็อาจจะสบายใจได้ว่าไตของเรายังพอไปไหว แต่ก็ต้องเริ่มลดๆ ปริมาณเนื้อสัตว์ที่กินในอาหารลงบ้างแล้ว เพราะถ้ายังขืนใช้ไตคุณทำงานหนักๆ ไปเรื่อยๆ ไตอาจจะเสื่อมขึ้นมาจริงๆได้


จาก ไทยเด้นท์ออสดอทคอม
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สมุนไพรสำหรับผู้ป่วยโรคไต 2 - หญ้าไผ่นํ้า

หญ้าไผ่น้ำ (จุ้ยเต็กเฉ้า)

หญ้า ไผ่น้ำ หรือ หญ้าจุยเต็กเฉ้า หรือ หญ้าดอกฮวยอะเจียเฉ้า ถิ่นกำเนิดที่มณฑลกวงสี มณฑลกวางตุ้ง และมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน  มีผู้นำไปปลูกที่สิงคโปร์ เพื่อเป็นยาทานแก้พิษร้อนใน ต่อมา พบว่าเป็นยาสมุนไพร ที่สามารถขับพิษที่ตกค้างในไต ออกทางปัสสาวะ ทำให้ไตคืนสภาพเป็นปกติ
หญ้าไผ่น้ำเป็นไม้ล้ม ลุก มีลักษณะ ใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบเรียวกลม ด้านบนสีเขียว ด้านหลังสีม่วงบานเย็น มีก้านเป็นข้ออวบน้ำ  เลื้อยตามดิน ก้านเถามีขนอ่อนๆ  ดอกสีม่วงขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ ด้วยข้อ พบขึ้นตามที่ชื้นแฉะ ข้างคันนา ริมธารน้ำหรือที่ว่างทั่วไป  เนื่องจาก ต้นมีก้านเป็นข้อ ๆ เลื้อยไปตามพื้นดิน ก้านจะมีขนอ่อนนิด ๆ ควรปลูกในกระถางปากกว้าง ดินลึกประมาณ ๕ นิ้ว ชอบความชุ่มชื้น แดดอ่อน แต่น้ำไม่ขัง หน้าฝนเจริญเติบโตเร็ว ขยายพันธุ์โดยตัดก้านให้มีความยาว  ๓-๔  นิ้ว ปักชำลงในดิน ประมาณ ๒ อาทิตย์ จะมีรากงอกออกมาที่ก้านตามข้อ ดังนั้น การขยายพันธุ์จึงทำได้ง่าย

       สรรพคุณหญ้าไผ่น้ำ นอกจากกินแก้ร้อนใน ยังสามารถลดการอับเสบของทางเดินปัสสาวะ แก้พิษงูกัด บำบัดอาการต่อมลูกหมากโต ผู้ที่เริ่มมีอาการของโรคไต โดยค่าของ BUN ในเลือดสูงเกินปกติ หรือ CREATININE สูงเกินค่าที่กำหนด เป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า จะต้องงดทานเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ถั่วที่มีโปรตีนสูง ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่มียารักษาเพียงรอให้อาการของผู้ป่วย ถึงขั้นอาเจียน ขาบวม ท้องอืด เบื่ออาหาร ท้ายสุดก็ต้องไปฟอกไต ถ้าคนไข้เริ่มมีอาการใหม่ ๆ ให้ทานน้ำต้มหญ้าไผ่น้ำ จะช่วยบรรเทาอาการของโรคไตได้ดี ดังเช่น บุคคลหลาย ๆ ท่าน ที่ทานยานี้แล้ว อาการของไตเสื่อมจะไม่ปรากฏ
     
วิธีต้มหญ้าไผ่น้ำ

    ตัดหญ้าไผ่น้ำประมาณ  ๑๐๐ – ๑๕๐ กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อต้ม (ควรเป็นหม้อเคลือบ) เติมน้ำสะอาด ๒ ลิตร ต้มให้เดือดแล้วหรี่ไฟอ่อน ต้มอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วตักเอาหญ้าไผ่น้ำออก จะเห็นน้ำใส ๆ เป็นสีบานเย็นอ่อน ไม่ควรใส่น้ำตาลหรืออย่างอื่น วางทิ้งไว้ให้เย็น แล้วบรรจุขวดเข้าตู้เย็นทานได้ทุกเวลา วันละ ๓-๔ แก้ว หลังจากทานหญ้าไผ่น้ำแล้ว ประมาณ ๓  เดือน ควรไปเจาะเลือดตรวจค่า ของ * BUN * และ * CREATNINE * ด้วย

จาก จำรัส(เซ็นนิล)ดอทเน็ท
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ท

ที่มา :  http://health4friends.lnwshop.com

สมุนไพรสำหรับผู้ป่วยโรคไต 1 - หญ้าหนวดแมว

ฤทธิ์และประโยชน์ทางยา


สารสำคัญ ในใบของหญ้าหนวดแมว มีเกลือโปแตสเซียม ในปริมาณ สูง 0.7-0.8 %
ใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ใบอ่อนใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ที่มีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากมีเกลือโปแตสเซียมมาก หญ้าหนวดแมวใช้รักษานิ่วได้ทั้งนิ่วด่างซึ่งเกิดจากแคลเซียม (หินปูน) ซึ่งมักจะเป็นก้อนที่เกิดจากการดื่มน้ำที่มีหินปูน และใช้รักษานิ่วกรดซึ่งเกิดจากกรดยูริก นิ่วจำนวนนี้จะไม่เป็นก้อนแต่จะร่วนเป็นเม็ดทราย ไม่ทึบแสง มักเกิดจากการรับประทานเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์มากเกินไป ทำให้มีกรดยูริกสูง เมื่อรับประทานหญ้าหนวดแมว ซึ่งมีโปแตสเซียมสูง จะทำให้ในกรดมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้กรดยูริก และเกลือยูเรต (urate) ไม่จับตัวเป็นก้อน ช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ช่วยขยายท่อไตให้กว้างขึ้น จึงช่วยบรรเทาอาการปวด หญ้าหนวดแมวไม่มีฤทธิ์ละลายนิ่ว ดั้งนั้นนิ่วก้อนใหญ่จะไม่ได้ผล ใช้ได้ดีกับนิ่วก้อนเล็กๆ ฤทธิ์ขับปัสสาวะของหญ้าหนวดแมวจะช่วยดันเม็ดนิ่วเล็กๆ ให้หลุดออกมา


วิธีการใช้+คำแนะนำ              

       ใช้ยอดอ่อน (ซึ่งมีใบอ่อน 2 – 3 ใบ) ควรเก็บช่วงที่หญ้าหนวดแมวกำลังออกดอก (แต่ไม่ใช้ดอก) นำมาหั่นสั้นๆ ตากแดดให้แห้ง ใช้ครั้งละประมาณ 2 กรัมโดยชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว ปิดฝาแล้วทิ้งไว้ 5 – 10 นาที ให้ดื่มขณะร้อนๆ วันละ3 ครั้งดื่มก่อนอาหาร และดื่มน้ำตามมากๆ

 ข้อควรระวัง

 - เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีเกลือโปแตสเซียมสูง จึงไม่ควรใช้กับคนที่เป็นโรคหัวใจ
 - ไม่ควรใช้การต้ม ให้ใช้การชง และควรใช้ใบอ่อน เพราะใบแก่จะมีความเข้มข้นอาจทำให้มีฤทธิ์กดหัวใจ
 -  ควรใช้ใบตากแห้ง เพราะใบสดจะทำให้มีอาการคลื่นไส้และหัวใจสั่น
 - ไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวร่วมกับแอสไพริน เพราะสารจากหญ้าหนวดแมวจะทำให้ยา จำพวกแอสไพรินไปจับกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น


จาก ครูบ้านนอกดอทคอม
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มา :  http://health4friends.lnwshop.com

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นาฬิกาชีวิต คือ อะไร

ร่างกายระกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็มีเวลาในการทำงานแตกต่างกันไป มาดูกันว่า เวลาใดอวัยวะส่วนใดกำลังทำงาน

01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ
เวลา นี้ควรนอนเพราะตับจะหลั่งสารมีลาโทนิน (Meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งสารมีลาโทนินเป็นประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (Endrophin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว โดยหน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
1.ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บ จะไม่สวย
2.ช่วย กระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ

03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด 
เป็นเวลาที่ควรตื่นนอน ลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำ ปอดและผิวจะดีขึ้น

05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่
เวลา นี้จึงเหมาะที่จะขับถ่ายอุจจาระ และควรทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก และดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว หรือดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว+น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ+น้ำมะนาว 4-5 ลูก

07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร
กระเพาะ อาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย

09.00-11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม
ม้าม มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อย มักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครง สาเหตุมาจากม้ามกับตับ ผู้ที่มัก นอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไป จะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย

11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ
หัวใจ ทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ต้องทำให้ใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้

13.00-15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก
ควร งดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อให้ลำไส้ทำงาน โดยลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมอาหาร เช่น วิตามินซี บี โปรตีน  ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่

15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ
ควร ออกกำลังกายหรืออบตัวให้เหงื่อออก กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง  หากอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ

17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต
ควร ทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
- ไตซ้าย จะควบคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
- ไตขวา จะควบคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่มีไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้า ลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแล คือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนัก

19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ
ช่วง เวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูเยื่อมหุ้มหัวใจให้แข็งแรง

21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น
ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ

23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี
ถุง น้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำจะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ (ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่าถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)
คำ แนะจากหนังสือบอกว่า  อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้น ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.

จาก หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ข้อมูลจาก หนังสือนาฬิกาชีวิต
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ท
ที่มา :  http://health4friends.lnwshop.com



เรื่องน่ารู้ของสมุนไพร ชื่อ รากสามสิบหรือสาวร้อยผัว

เรื่องน่ารู้ของรากสามสิบหรือสาวร้อยผัว

"สาว ร้อยผัว"  มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Asparagus Racemosus Willd เป็นสมุนไพรที่คนไทยและคนเอเชียใช้กันมาช้านานแล้ว  คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ เรียกแตกต่างกันไปในแต่ละภาค  ชื่อในภาคกลางหรือคนทั่วไปเรียกขานว่า  "รากสามสิบ" หรือ "สามร้อยราก" นั่นเอง
หมอ ยาโบราณส่วนใหญ่จะรู้ว่าสาวร้อยผัวเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี  จึงให้ชื่อว่า "สาวร้อยผัว" ชื่อนี้หมายถึงไม่ว่าสาวใดจะอายุเท่าไรก็ยังสามารถมีลูกมีผัวได้ ความหมายคล้ายๆสาวสองพันปีที่ยังสาว เสมอนั่นเอง และ เป็นที่น่าแปลกใจว่าในอินเดียก็เรียกสมุนไพรชนิดนี้คล้ายกับเมืองไทย โดยในภาษาสันสกฤต เรียกว่า ศตาวรี(Shtavari) มีความหมายว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางตำราบอกว่าหมายถึงผู้หญิงที่มีร้อยสามี "Satavari" (this is an India word meaning’a woman who has a hundred husbands) รากสามสิบเป็นสมุนไพรที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ พระเวท  ซึ่งเป็นคำภีร์ที่มีมาก่อนอายุรเวทด้วยซ้ำ จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานหลายพันปีแล้ว และในอินเดียใช้รากสามสิบทำ เป็นของหวานเช่นเดียวกับเมืองไทย (รากสามสิบแช่อิ่ม รากสามสิบเชื่อม)
ใน ตำราอายุรเวทใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในผู้หญิง ในการทำให้ผู้หญิงกลับมาเป็นสาว (Female rejuvention)  นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาอื่นๆของผู้หญิงเช่น ภาวะประจำเดือนไม่ปกติ ปวดประจำเดือน ภาวะมีบุตรยาก  ตกขาว  ภาวะอารมณ์ทางเพศเสื่อมถอย  ภาวะหมดปะจำเดือน(menopause)  และใช้บำรุงน้ำนม  บำรุงครรภ์  ป้องกันการแท้ง(habitual abortion)  และอาการที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ ของผู้หญิง
แม้ สมุนไพรชนิดนี้จะโดดเด่นต่อสตรีเพศแล้ว ในอินเดียยังใช้ในการเพิ่มพลังทางเพศให้กับผู้ชายอีกด้วย  ซึ่งก็คงคล้ายกับทางภาคเหนือของไทยที่ใช้สาวร้อยผัว หรือที่เรียกในภาคเหนือว่า "ม้าสามต๋อน"  เป็นยาดองเพื่อเพิ่มพลังทางเพศชาย  และยังใช้เพื่อสรรพคุณทางยาอื่นๆอีกมาก เช่น ยาแก้ไอ ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้บิด  แก้ไข้  แก้อักเสบ  ซึ่งจัดได้ว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรที่ใช้มากที่สุดในอินเดียชนิดหนึ่ง  ในปี ค.ศ. 1992-2000 อินเดียใช้สมุนไพรชนิดนี้ถึง 8,460 ตัน เป็นอันดับสองรองจากมะขามป้อมที่ใช้อยู่ที่ 15,147 ตัน ปัจจุบันมีสารสกัดด้วยน้ำของรากสามสิบจากอินเดียไปจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกา ในลักษณะเป็น dietary supplement หรือพวกอาหารเสริมที่สามารถขายได้ ทั่วไปไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์
สาว ร้อยผัว หรือ รากสามสิบ เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมากพอสมควร ในด้านการศึกษาวิจัยในห้องทดลองพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ แก้การอักเสบ แก้ปวด มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งโรคเบาหวาน  กระตุ้นภูมิคุ้มกัน  ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ  ลดระดับไขมันในเลือด  ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด   ลดอาการหัวใจโตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง  ขับน้ำนม  ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งพิษต่อตับ  ในการศึกษาด้านความเป็นพิษในสัตว์ทดลองพบว่า การใช้รากสามสิบในขนาดสูง 2 กรัม ต่อกิโลกรัมด้วยการกินไม่พบพิษ  และการใช้ในระยะยาวด้วยการต้มน้ำ ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แล้วให้กินทั้งเนื้อและน้ำนาน  4-32 สัปดาห์ ไม่พบความผิดปกติ  จะเห็นได้ว่ารากสามสิบนั้น  นับว่าเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามาก  เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ 

การศึกษาวิจัยสมัยใหม่
สาวร้อยผัว หรือรากสามสิบเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมากพอสมควร ในด้านการศึกษาวิจัยในห้องทดลองพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ ลดการอักเสบ แก้ปวด มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเบาหวาน เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ ลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง ขับน้ำนม ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งพิษต่อตับ

ในการศึกษาด้าน ความเป็นพิษในสัตว์ทดลองพบว่า การใช้ในขนาดสูง ๒ กรัมต่อกิโลกรัมด้วยการกินไม่พบพิษ และการใช้ในระยะยาวด้วยการต้มน้ำ ความเข้มข้น ๑๐๐ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แล้วให้กินทั้งเนื้อและน้ำนาน ๔ และ ๓๒ สัปดาห์ ไม่พบความผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุม
การ ศึกษาที่กล่าวข้างต้นเป็นการศึกษาในห้องทดลอง ทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง ดังนั้นการนำมาใช้เป็นยากับคนจึงต้องมีการศึกษาทดลองกันต่อไป ส่วนที่มีการทดลองทางคลินิก (การใช้ในคนจริงๆ) คือการใช้ในการรักษาโรคกระเพาะ โดยการให้รับประทานผงแห้งของราก พบว่าได้ผลดีในการรักษาแผลในกระเพาะและลำไส้เล็ก และอาการที่มีกรดเกิน (Acid dyspepsia)

ข้อควรระวัง
เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้หายไปจากสังคมมานาน การที่จะนำมาใช้เป็นยาอีกครั้งควรระวัง เพราะเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงห้ามใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เช่น ท่านที่เป็นโรค Uterine fribrosis หรือ Fibrocystic breast


จาก ไตรย ตำรับยา ตำราไทย
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มา http://health4friends.lnwshop.com



วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับมะเร็งตับ

มะเร็งตับมีสาเหตุมาจากอะไร ? 

         1. ส่วนใหญ่ของการเกิดมะเร็งตับมีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบีและซี จากข้อมูลสถิติของหลายสถาบันได้ผลใกล้เคียงกันว่า 80% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งตับ โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า (ข้อมูลจากหนังสือความรู้เรื่องโรคตับสำหรับประชาชน)
          2. มีข้อมูลที่น่าสนใจประการหนึ่งว่า ประมาณ 90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจะมีตับแข็งร่วมด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้าท่านป่วยเป็นพาหะตับอักเสบบี และมีตับแข็งแล้ว ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับจะสูงมากๆ ทีเดียว
          3. มะเร็งตับยังมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันได้ว่า ผู้ที่ดื่มสุราแอลกอฮอล์เป็นประจำมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
          4. สารอะฟลาท๊อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ก็เป็นสารก่อมะเร็ง ที่เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ จากการศึกษาพบว่า อะฟลาท๊อกซิน มีความสัมพันธ์กับไวรัสตับอักเสบบี โดยเชื่อว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นตัวทำให้เกิดมะเร็งตับ และอะฟลาท๊อกซินเป็นตัวเสริม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี จึงควรที่จะหลีกเลี่ยง ถั่วลิสง โดยเฉพาะถั่วลิสงป่นที่ค้างนานๆ ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว และเต้าหู้ยี้

จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป็นมะเร็งตับ ?
   
       สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับ มีอัตราการอยู่รอดต่ำก็คือ มะเร็งตับในระยะแรกซึ่งจะสามารถรักษาให้หายขาดได้นั้น มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนออกมา โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลุมเคลือ เช่น เสียดท้องด้านขวา มีอาการจุกแน่นในบางครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลย ทั้งนี้ ก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีกำลังสำรองมาก คนเราสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของตับประมาณ 30% ดังนั้น เมื่อมีอาการที่ชัดเจนมะเร็งก็อยู่ในระยะลุกลาม หรือ มีขนาดใหญ่และไม่สามารถจะรักษาได้แล้ว

อาการของผู้ป่วยมะเร็งตับ
    
      ที่ชัดเจนก็คือ รู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จุกเสียด แน่นท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอาการที่เด่นชัดก็คือ ปวดชายโครงด้านขวา โดยอาจร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาหรือลำตัวซีกขวา และอาจคลำพบก้อนที่ชายโครง

การตรวจหามะเร็งตับทำได้อย่างไร ?
        
  เนื่องจากมะเร็งตับเปรียบเหมือนมฤตยูเงียบ การเฝ้าระวังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการที่จะเป็นมะเร็งตับ คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปและมีอาการตับแข็งร่วมด้วยควรจะต้องตรวจร่างกายอย่างน้อยทุก 6 เดือน
          การตรวจหามะเร็งตับในปัจจุบัน จะมีการตรวจหาระดับของสารอัลฟาฟิโตโปรตีน (Alfafeto-protein) ซึ่งเป็นสารที่มักพบในผู้ป่วยมะเร็งตับ แต่การตรวจหาค่าอัลฟาฟิโตโปรตีนอย่างเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากมีโอกาสผิดพลาดได้ถึง 30% การตรวจจึงควรจะร่วมกับการทำอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจหาก้อนมะเร็งที่มีขนาดเล็ก ๆ ได้ ถ้าจะให้ละเอียดมากกว่านี้ก็คือ การตรวจโดยใช้เครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า C T Scan ซึ่งจะสามารถเห็นมะเร็งที่มีขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตรได้

มีวิธีรักษามะเร็งตับอย่างไรบ้าง ?
     
     มะเร็งตับดูเป็นโรคที่มีความน่ากลัว เพราะผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะเมื่อตรวจพบมะเร็งก็มีขนาดใหญ่มากแล้ว อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบในระยะแรกๆ ก็มีวิธีที่จะรักษาให้หายขาดได้ เช่น

          1. การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก โดยมีเงื่อนไขว่าก้อนมะเร็งนั้นมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร เป็นมะเร็งก้อนเดียว มีเปลือกห่อหุ้ม และอยู่ภายในตับกลีบเดียว วิธีการนี้ถือว่าเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

          2. Transcatheter Oily Chemo-embolization หรือ TOCE ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกได้ เนื่องจากมีขนาดใหญ่เกินไป วิธีรักษาแบบ TOCE นี้มักจะกระทำโดยรังสีแพทย์ โดยการสอดสายขนาดเล็กเข้าไปทางเส้นเลือดแดงตับ เพื่อเข้าไปถึงก้อนมะเร็งโดยตรงเพื่อใส่ยาเคมีเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง พร้อมทั้งอุดเส้นเลือดหลักที่เข้าไปเลี้ยงก้อนมะเร็งด้วยในเวลาเดียวกัน วิธีการรักษาแบบนี้ก็ได้ผลอยู่บ้างแต่ไม่สามารถจะรักษาให้หายขาดได้ โดยส่วนใหญ่มะเร็งจะกลับโตขึ้นมาได้อีก หรืออาจแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นได้ เช่น ปอดหรือกระดูก ในทางการแพทย์การรักษาโดยวิธีนี้จึงเป็นการรักษาเพื่อยืดเวลา ในบางกรณีเมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงและไม่กระจายไปที่อื่นอาจจะผ่าตัดเอา ก้อนมะเร็งออกเลยก็ได้

          3. การใช้คลื่นเสียง RFA (Radiofrequency Ablation) เป็นการฉีดแอลกอฮอล์โดยตรงที่ก้อนมะเร็ง เป็นวิธีการทำลายก้อนมะเร็งด้วยการใช้เข็มแบบพิเศษ (RF needle) ขนาดเท่ากับไส้ปากกาลูกลื่น ความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร แทงผ่านผิวหนังเข้าไปในก้อนมะเร็งเป้าหมาย โดยใช้หลักการเหนี่ยวนำไฟฟ้าจากเครื่อง ทำให้เกิดคลื่นความถี่สูงประมาณ 375-500 KHz จะทำให้โมเลกุลของเนื้อเยื่อรอบๆ เข็มสั่นสะเทือนและเสียดสีกันจนเกิดความร้อน (Friction heat) ซึ่งจะแผ่กระจายออกไปรอบๆ จนครอบคลุมก้อนมะเร็งทั้งก้อน จากการศึกษาพบว่าความร้อนที่มากกว่า 50 องศาเซลเซียส สามารถทำให้เซลล์ตายได้ ก้อนมะเร็งที่ได้รับการรักษาจะเปรียบเสมือนเนื้อย่าง ซึ่งในต่างประเทศใช้วิธีการรักษามะเร็งตับ RFA นี้กันมานานประมาณ 12 ปีแล้ว ส่วนในประเทศไทยเริ่มใช้กันมา ประมาณ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้เอง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาเหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาแบบประทังทั้งสิ้น

          4. การเปลี่ยนตับ ปัจจุบันแพทย์ไทยก็สามารถปลูกถ่ายตับได้ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งมักมีข้อจำกัดมากมาย ทำให้การเปลี่ยนถ่ายตับมักไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการรักษา

          5. การฉายรังสี วิธีการนี้ไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากตับที่ดี มักมีผลเสียจากฉายรังสี

มะเร็งตับ ป้องกันได้...

          1. แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี แก่เด็กทุกราย รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนถึงวิธีการติดต่อของไวรัสตับอักเสบ บี และซี
          2. ลดสาร aflatoxin โดยการเน้นการเก็บอาหารให้แห้งเพื่อลดปริมาณ aflatoxin
          3. โรคตับแข็ง โดยการลดการดื่มสุรา
          4. ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ปลาดิบ ก้อยปลา เพราะอาจจะทำให้เป็น โรคพยาธิใบไม้ตับหรืออาหารที่หมัก เช่น ปลาร้า ปลาเจ่า แหนม ฯลฯ เพราะมีสาร ไนโตรซามีน ซึ่งทำให้เป็นโรคมะเร็งตับได้ ควรรับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุกใหม่ๆ
          5. ไม่รับประทานอาหารที่มีเชื้อรา ระมัดระวังอาหารที่ตากแห้ง รวมทั้งอาหารที่เตรียมแล้ว เก็บค้างคืน เพราะอาจมีเชื้อราปะปนอยู่
          6. ไม่รับประทานอาหารซ้ำๆ หรืออาหารที่ใส่ยากันบูด
          7. ถ้ามีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์

 จาก กระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มา :  http://health4friends.lnwshop.com


ความรู้เกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ ซี

ไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis C) คืออะไร

ไวรัสตับอักเสบ ซีเป็น สาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบ เกิดขึ้นภายหลังการได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี พบในประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 2 ของคนที่มาบริจาคเลือด หลังจากเป็นตับอักเสบแล้วก็มีแนวโน้มจะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง 20% ของผู้ป่วยตับจะเป็นตับแข็งภายใน 10-20 ปี บางส่วนกลายเป็นมะเร็งตับ

ปัจจัยเสี่ยงและการติดต่อ

ไวรัสตับอักเสบ ซี ติดต่อทางเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน แต่มีผู้ป่วยบางท่านได้รับเชื้อโดยไม่ทราบแหล่งที่มาปัจจัยเสี่ยงได้แก่
  • ผู้ที่เคยได้รับเลือด และ สารเลือดก่อนปี คศ 1992 เนื่องจากยังไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี
  • เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ได้รับอุบัติเหตุถูกเข็มตำ
  • ผู้ป่วยติดยาเสพติดใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ ซี พบได้ร้อยละ 5
  • ผู้ที่สำส่อนทางเพศ หรือ รักร่วมเพศ
  • ไดรับเชื้อจากการสักตามตัว
อาการของผู้ป่วย

ผู้ที่เป็นตับอักเสบ ซี เรื้ออาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่ไม่มาก อาการที่พบได้คือ
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • ปวดชายโครงขวา
  • ปวดกล้ามเนื้อและ ปวดข้อ
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเรื้อรังและกลายเป็นตับแข็งจะมีอาการ
  • ตับ ม้ามโต
  • ตัวเหลืองตาเหลือง
  • กล้ามเนื้อลีบ
  • ท้องมาน
  • เท้าบวม
วิธีป้องกันตับไวรัสอักเสบ ซี
  • ห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ให้สวมถุงมือถ้าต้องสัมผัสเลือด
  • ห้ามใช้มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกัน
  • ห้ามใช้อุปกรณ์ในการสักร่วมกัน
  • ให้ใช้ถุงยางคุมกำเนิดถ้าหากมีเพศสัมพันธ์หลายคน
  • ถ้าคุณเป็นตับอักเสบ ซีห้ามบริจาคเลือด
การติดต่อของ ไวรัสตับอักเสบซี

        1. เลือดและผลิตภัณฑ์เลือดทุกชนิด โดยเฉพาะได้รับก่อนปี 2535
        2. ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การฉีดยากับหมอเถื่อน
        3. การสัก การเจาะหู โดยใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
        4. การฟอกไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

ประเด็นที่ควรระมัดระวังเกี่ยวกับสาเหตุของการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบซี

        1. การสัก ซึ่งอาจเกิดจากการปนเปื้อนในน้ำหมึก หัวเข็ม ที่ล้างหมึก
        2. การสักคิ้ว สักขอบตา
        3. การฉีดยาเสพติดเข้าเส้น
        4. อุปกรณ์ของใช้ในร้านเสริมสวย ไม่ว่าจะเป็นการทำผม การทำเล็บ การใช้ใบมีดโกน กรรไกร ซึ่งในร้านเสริมสวยค้นพบว่ามีเชื้อราอยู่ถึง 20% ทีเดียว

อาการของตับอักเสบเฉียบพลันจาก ไวรัสตับอักเสบซี

        1. ไม่มีอาการ
        2. อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลดและลงท้ายด้วยตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองพบได้เพียง 10-15% เท่านั้น ที่เหลือไม่พบ จึงทำให้ยากต่อการวินิจฉัย

อาการตับอักเสบเรื้อรังจาก ไวรัสตับอักเสบซี

         ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอาการ บางรายอาจมีอาการเหนื่อยเพลีย ไม่มีแรง มึนงง สมองไม่สั่งงานและเมื่อตับอักเสบไปเรื่อยๆ จึงพบอาการตับแข็ง นอกจากนั้นอาจพบอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานผิดปกติ เช่น โรคไต โรคผิวหนังผื่นตามผิวหนัง เป็นต้น

อาการตับแข็งจาก ไวรัสตับอักเสบซี

         ผู้ป่วยตับแข็งในระยะแรกยังไม่มีอาการหรือความผิวปกติให้เห็น ผู้ป่วยยังสามารถมีชีวิตทำงานได้ตามปกติเหมือนเดิม จนกระทั่งสูญเสียการทำงานของตับมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเริ่มมีอาการต่างๆ ปรากฏให้เห็น ซึ่งแสดงออก 2 ชนิด คือ
        1. อาการที่เกิดจากการสูญเสียการทำงานของเซลล์ตับ ทำให้การสร้างสารอาหาร พลังงานและการทำลายพิษต่างๆ ผิดปกติ อาการที่ปรากฏคือ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ผอมลง ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องม้าน ขาบวม ผิวคำคล้ำแห้ง คันโดยไม่มีแผล เลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน กลางคืนนอนมีเลือดหยดลงหมอนผิวหนังช้ำ เขียวง่าย ไวต่อยาหรือสารพิษต่างๆ มากกว่าปกติ ป่วยบ่อยๆ ติดเชื้อในกระแสเลือดติดเชื้อในช่องท้อง สมองมึนงง ซึม สับสน หรือโคม่า
        2. อาการที่เกิดจากพังผืดยึดรัดเนื้อตับ ก็คือ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ถ่ายเป็นเลือด เนื่องจากมีการแตกของหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร ม้ามโต ซีด เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือด ขาวต่ำ มะเร็งตับ

การรักษาโรคเกี่ยวเนื่องกับไวรัสตับอักเสบซี
     
        ตับอักเสบเฉียบพลัน เนื่องจากผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันมักไม่ค่อยมีอาการ จึงไม่มีการรักษาใดๆ เป็นเพียงการดูแลรักษาตามอาการเท่านั้น เช่น ถ้าอ่อนเพลียก็ให้พักผ่อนเยอะๆ ไม่นอนดึก หลีกเลี่ยงอาหารมัก เป็นต้น
        ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่จะกลายเป็นโรคเรื้อรังและมีการดำเนินของโรคไปเรื่อยๆ จนถึงสภาพตับเสื่อมและตับวายในที่สุด ปัจจุบันยาที่ใช้เป็นมาตรฐาน ในการรักษาคือ การให้ยา 2 ตัวร่วมกัน คือ ยาฉีดในกลุ่มอินเตอร์เฟอรอนร่วมกับยาไรบาไวริน ซึ่งเป็นยารับประทาน ยาทั้งสองจะให้ผลดีคือกำจัดไวรัสให้หมดไปและไม่เป็นซ้ำอีกหลังหยุดยาซึ่งให้ ผลเฉลี่ยมากกว่า 50%

จาก  กระปุกดอทคอม
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มา   http://health4friends.lnwshop.com

ความรู้เกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบ บี

โรคไวรัสตับอักเสบ บี คืออะไร

โรค ตับอักเสบ บี เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบ บีโดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการ อักเสบและทำลายตับ

เชื้อไวรัสตับอักเสบติดต่อได้อย่างไร

เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถติดต่อทาง เลือด น้ำเชื้อ และน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง ท่านสามารถรับเชื้อได้โดยวิธี
  • มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยาง การจูบกันจะไม่ติดต่อถ้าปากไม่มีแผล
  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน และการเจาะหู
  • ใช้แปรงสีฟันร่วมกัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ
  • แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ 90 %และให้นมตัวเอง
  • ถูกเข็มตำจากการทำงาน
  • รักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่
  • โดยการสัมผัสกับ เลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โยผ่านเข้าทางบาดแผล
เชื้อนี้จะไม่ติดต่อกันทางลมหายใจ อาหาร หรือน้ำดื่ม การให้นม การจูบกัน

อาการของผู้ป่วยโรคตับอักเสบ บี
     
   ส่วน ใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี มักไม่มีอาการป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก โดยผู้ป่วยจะมีอาการเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีไข้ต่ำ ๆ ในวันแรก ๆ มีอาการจุกแน่นท้อง ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง มีปัสสาวะสีเข้ม อาการเหมือนดีซ่าน เป็นอยู่ 2-3 สัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วจะหายเป็นปกติ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจทำให้ตับเสีย มีอาการเพ้อคลั่ง ซึม มีน้ำในท้อง ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด ทั้งนี้ ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ คือ 30 - 180 วัน โดยเฉลี่ยคือ 60 - 90 วัน โดยทั่วไปผู้ที่ได้รับเชื้อร้อยละ 90 จะสามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ และหายเป็นปกติ พร้อมกับสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ตลอดชีวิต ซึ่งเราสามารถตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบว่ามีภูมิต้านทานโรคไวรัสตับอักเสบหรือไม่ได้
อย่าง ไรก็ตาม ก็ยังมีบางคนที่ยังมีเชื้ออยู่ในร่างกายอยู่ หรือเรียกว่าเป็นพาหะ แต่ตับยังทำงานได้ตามปกติ ไม่เกิดความผิดปกติแต่อย่างใด แต่ผู้ที่เป็นพาหะนี้ ก็มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งตับมากกว่าคนปกติถึง 223 - 250 เท่า และ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะเสียชีวิต เนื่องจากโรคตับอักเสบเรื้อรัง, ตับแข็ง และมะเร็งตับ แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่จะเป็นโรคตับร้ายแรงเหล่านี้ จะต้องมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในตัวนานกว่า 20-30 ปีขึ้นไป นั่นคือ ต้องได้รับเชื้อมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง


ผลของการเป็นไวรัสตับอักเสบ บี หลังจากเป็นไวรัสตับอักเสบ บีจะมีการดำเนินของโรคดังนี้
  1. 90%ของผู้ป่วยหายขาดกล่าวคือภายใน 10 สัปดาห์การทำงานของตับกลับสู่ปกติ และมีภูมิคุ้มกัน
  2. ผู้ป่วยส่วนหนึ่งตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี HbAg + แต่การทำงานของตับปกติ พวกนี้สามารถติดต่อผู้อื่นเรียก carrier
  3. 5-10%จะ เป็นตับอักเสบเรื้อรัง Chronic hepatitis ผู้ป่วยกลุ่มนี้เจาะเลือดจะพบการทำงานของตับผิดปกติเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนและยังตรวจพบเชื้อตลอด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการอักเสบของตับเป็นระยะๆ บางรายเป็นตับแข็ง บางรายเป็นมะเร็งตับ
หากรู้ว่าเป็น "พาหะ" ไวรัสตับอักเสบบี ควรทำอย่างไร

               1. รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์ และสามารถทานอาหารร่วมกับผู้อื่นได้ โดยใช้ช้อนกลาง
           2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น การทานยาบางชนิด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารพิษจากเชื้อรา เป็นต้น
           3. หากพบอาการผิดปกติ เช่น เท้าบวม ท้องบวม อุจจาระเป็นสีดำ ตัวเหลือง ตาเหลือง ควรรีบปรึกษาแพทย์
           4. เจาะเลือดปีละครั้ง เพื่อตรวจการทำงานของตับ และตรวจหาสารแอลฟา ฟีโตโปรตีน (Alpha Fetoprotein) ในเลือด ที่บ่งบอกว่าจะเกิดมะเร็งตับหรือไม่ และจะตรวจถี่ขึ้นในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
           5. งดบริจาคเลือด และแยกใช้ข้าวของเครื่องใช้ เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น
           6. ให้บุคคลใกล้ชิดเข้ารับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เพื่อสร้างภูมิต้านทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กแรกเกิดควรได้รับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม การให้วัคซีนแก่ผู้ที่เป็นพาหะแล้ว ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้


หากรู้ว่าเป็น ไวรัสตับอักเสบบี ควรทำอย่างไร
   

       แม้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถหายได้เอง และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ แต่เมื่อตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ก็ควรปฏิตัวดังนี้
           1. ทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
           2. ตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทราบอาการว่า เป็นมากหรือน้อย
           3. บอกคนใกล้ชิดให้ทราบ เพื่อป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน
           4. งดการบริจาคเลือดโดยเด็ดขาด
           5. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่งผลร้ายต่อตับ
           6. ไม่ควรใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะจะมีผลต่อตับโดยตรง
           7. พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้การอ่อนเพลียลดลง
           8. สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันเชื้อที่จะส่งต่อไปยังผู้อื่น
           9. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูง น้ำหวาน เพราะจะทำให้เกิดไขมันสะสมที่ตับ จึงควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย


จาก กระปุกดอทคอม , สยามเฮลท์ดอทคอม
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ที่มา http://health4friends.lnwshop.com

ความรู้เกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

โรคไวรัสตับอักเสบ เอ คืออะไร

โรค ไวรัสตับอักเสบ เอ หรือ ดีซ่านหรือโรคไวรัสลงตับ เกิดจากการอักเสบของเซลล์ตับ ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือน้อยลงเป็นผลให้เกิดการเจ็บป่วยโรคตับอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุแต่ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโดยเชื้อไวรัสที่พบบ่อยคือเชื้อไวรัสตับ อักเสบ เอ และ บี อาการส่วนใหญ่ที่พบมักมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง หรือโรคดีซ่านแบบเฉียบพลันประมาณร้อยละ 60-70% ของผู้ป่วยมักเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

โรค ไวรัสตับอักเสบ เอ ในเด็กมักไม่มีอาการหรือมีแต่ก็ไม่ได้รุนแรงอย่างไรก็ตามบางครั้งอาจพบอาการ รุนแรงได้ เน อาการตาเหลือง ตัวเหลืองเป็นเวลานาน ตับอักเสบอย่างรุนแรงจนตับวาย อาจเป็นผลทำให้เสียชีวิตได้ อาการจะรุนแรงมากขึ้นตามอายุ ในผู้ใหญ่ถ้าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ส่วนใหญ่มีอาการรุนแรงมากกว่า อาการมักจะเริ่มต้นด้วยมีไข้ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนหลังจากนั้นประมาณ 3-5 วัน จะเริ่มปัสสาวะสีเข้ม และมีไข้ตาเหลือง ตัวเหลืองปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวา การดำเนินโรคส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ โรคไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นโรคที่ไม่มีการรักษาโดยเฉพาะ การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ และการพักผ่อน

เชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ

เชื้อ ไวรัสตับอักเสบ เอเป็นเชื้อไวรสกลุ่ม picornavirus ติดเชื้อเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอจะมีภูมิอยู่ตลอดชีวิตและจะไม่เป็นโรคนี้อีก เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ เข้าไป เชื้จะเจริญในตับและเชื้อจะถูกขับออกทางน้ำดีและอุจาระ มักจะระบาดในชุมชนที่อยู่กันหนาแน่นและไม่ถูกสุขลักษณะ

ระยะฟักตัว

คือระยะเวลาตั้งแต่เราได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการโดยเฉลี่ยประมาณ 28 วัน(15-50)

ระยะติดต่อ

ระยะ เวลาที่จะติดต่อคนอื่นได้ง่ายที่สุดคือระยะเวลาก่อน เกิดอาการ 2 สัปดาหและอาจจะอยู่ได้หลายสัปดาห์หลังจากมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองแล้ว โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ผลเลือดมีการอักเสบของตับ แม้ว่าผลเลือดจะกลับสู่ปกติเราก็ยังสามารถพบเชื้อในเลือดของผู้ป่วย

อาการของผู้ป่วย

ในเด็กอายุน้อยกว่า 6ปีมักจะไม่มีอาการแสดงอะไร สำหรับวัยรุ่นขึ้นไปพบว่าร้อยละ70-90 จะมีอาการของตับอักเสบ อาการที่สำคัญได้แก่
  • มีไข้
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • แน่นชายโครงขวา
  • ท้องร่วง
  • ปัสสาวะสีเข็ม อุจาระซีด
  • และ มีอาการตัวเหลืองตาเหลืองที่เรียกว่าดีซ่าน
  • โดยทั่วไปอากาจะหายไปใน 2 เดือน บางรายอาการอยู่ได้ 6 เดือน ผู้ป่วยมักจะมีอาการหลังจากได้รับเชื้อ 28 วัน (15-50 วัน)

โรคไวรัสตับเอกเสบ เอ ติดต่อกันได้อย่างไร

ผู้ป่วยตับอักเสบจะขับเชื้อออกทางอุจาระ ดังนั้นการติดต่อมักเป็นในครอบครัวและหน่วยงานการติดต่อมีได้สองรูปแบบคือ
- จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้รับเชื้อจากน้ำที่เปื้อนเชื้อ จากการร่วมเพศทางทวารหนัก
-จากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ
.มัก เกิดในที่ๆสุขอนามัยไม่ดี และอยู่กันเป็นกลุ่มเช่น โรงเรียน สำนักงาน กองทหาร มหาวิทยาลัย ได้รับเชื้อจากน้ำที่เปื้อนเชื้อ ระยะ3-10 วันก่อนเกิดอาการเราจะพบเชื้อปริมาณมากในอุจาระจนกระทั้งสองสัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะที่ติดเชื้อได้ง่ายที่สุดโรคนี้มักจะไม่ติดต่อทางการให้เลือด เนื่องจากช่วงที่มี เชื้อในกระแสเลือดผู้ป่วยมักจะเกิดอาการของโรคแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรสตับอักเสบ เอก่อนการบริจาคเลือด โรคนี้ไม่ติดต่อจากแม่ไปลุก

เราจะป้องกันในครอบคัวจากโรคไวรัสตับอักเสบ เอ ได้อย่างไร

ใน อดีตคนไทยส่วนใหญ่มักมีภูมิคุ้มกันโรคตับอักเสบ เอ แล้วเพราะได้รับการติดเชื้อตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตามการสาธารณะสุข และการสุขาภิบาลของประเทศไทยในปัจจุบันดีขึ้นอย่างมาก จึงทำให้การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ ในเด็ก และวัยรุ่นได้ลดลงอย่างมาก ทุกวันนี้เด็กไทยจำนวนมากที่ไม่เคยติดเชื้อนี้มาก่อนจึงไม่มีภูมิคุ้มกันต่อ โรคนี้ และเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ เอมากขึ้น (รวมทั้งอาการที่พบในวัยหนุ่มสาว และผู้ใหญ่มักจะรุนแรง)
  • รับทานอาหารและน้ำที่สะอาด
  • ล้างมือก่อนรับประทานอาหารและควรใช้ช้อนกลาง
  • ขับถ่ายในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
  • กำจัดขยะ และสิ่งปฏิกูลเพื่อมิให้ปนเปื้อนไปสู่แหล่งน้ำและอาหารของชุมชนได้
เชื้อไวรสตับอักเสบ เอถูกทำลายโดย
  • ความร้อน 85°C เป็นเวลา 1นาที
  • autoclaving (121°Cเป็นเวลา 20 นาที)
  • ใช้แสง ultraviolet radiation (1.1 W at a depth of 0.9 cm for 1 min)
  • ใช้ formalin (8% for 1 min at 25°C)
  • ß-propriolactone (0.03% for 72 h at 4°C)
  • ใช้ด่างทับทิม potassium permanganate (30 mg/l เป็นเวลา 5 นาที)
  • ใช้ iodine (3 mg/l เป็นเวลา 5 นาที)
  • ใช้ chlorine (free residual chlorine concentration of 2.0 to 2.5 mg/l for 15 min)
  • chlorine-containing compounds (3 to 10 mg/l sodium hypochlorite at 20°C for 5 to 15 min)
  • shellfish from contaminated areas should be heated to 90°C for 4 min or steamed for 90 sec
จาก สยามเฮทล์ดอทคอม,ข้อมูลโรคจากโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ที่มา  http://health4friends.lnwshop.com

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แก่นตะวัน พืชสารพัดประโยชน์

สำหรับ "แก่นตะวัน" นั้น เรียกได้หลายชื่อทั้ง "ทานตะวันหัว" และ "แห้วบัวตอง" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า เยรูซาเล็ม อาร์ติโช้ก (Jerusalem artichoke) บางทีก็เรียกว่า ซันโช้ก (sunchoke) ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์คือ Helianthus tuberosus L. เป็นพืชดอกในตระกูลทานตะวัน ซึ่งมีต้นกำเนิดในตอนใต้ของประเทศแคนาดา และตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น แต่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ จึงสามารถปลูกได้ดีในเขตร้อน และเขตกึ่งหนาวอย่างทวีปยุโรป ทำให้ต้น "แก่นตะวัน" เป็นที่รู้จักในหลาย ๆ ภูมิภาค
  โดยลักษณะต้นของ "แก่นตะวัน" จะสูงประมาณ 1.5 ถึง 2 เมตร มีขนตามกิ่งและใบ ส่วนดอกของ "แก่นตะวัน" มีสีเหลืองสดใสคล้ายกับดอกบัวตอง และทานตะวัน แต่ขนาดจะเล็กกว่ามาก นอกจากนี้ "แก่นตะวัน" ยังมีหัวใต้ดินคล้ายมันฝรั่งไว้สำหรับเก็บสะสมอาหาร ซึ่งที่หัวของแก่นตะวันนี่เอง ที่จัดว่ามีสรรพคุณดีเยี่ยม

          นั่น ก็เพราะที่ส่วนหัวของ "แก่นตะวัน" จะมีสารอินนูลิน (Inulin) ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลฟรักโตสโมเลกุลยาว จึงเป็นพืชพรีไบโอติกที่มีเส้นใยสูงมาก หากรับประทานเข้าไป สารดังกล่าวจะไปช่วยดักจับยึดไขมันในเส้นเลือด ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ หรือ LDL ที่เรารับประทานเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปทิ้งออกทางอุจจาระ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี

          และ ถ้าใครที่ไม่ค่อยแข็งแรงเพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ "แก่นตะวัน" ก็ถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้ดีขึ้น เพราะอินนูลินจะไปช่วยลดปริมาณแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร เช่น โคลิฟอร์ม (Coliforms) และ อี.โคไล (E.Coli) ในขณะเดียวกัน "แก่นตะวัน" ก็จะไปเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคือ บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) และแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) ให้เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น

นอก จากนี้ ใครที่อยากลดความอ้วน "แก่นตะวัน" ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยควบคุมน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี โดยก่อนหน้านี้มีผู้ทดลองวิจัยให้หนูทานอาหารผสมอินนูลินนาน 3 สัปดาห์ และพบว่า น้ำหนักตัวของหนูลดลงจากเดิมถึง 30% เลยทีเดียว ซึ่ง หากคนรับประทานแก่นตะวันซึ่งมีอินนูลินสูงเข้าไป ก็จะช่วยเรื่องการลดน้ำหนักตัวได้เช่นกัน เพราะร่างกายเราไม่สามารถย่อยสารเส้นใยอินนูลินได้ ทำให้สารดังกล่าวตกค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารหลายชั่วโมง จึงทำให้ผู้รับประทาน "แก่นตะวัน" เข้าไป ไม่รู้สึกหิว และทานอาหารได้น้อยลงนั่นเอง

          ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นโรคเบาหวาน การรับประทาน "แก่นตะวัน" ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้ เพราะ "แก่นตะวัน" มีแคลอรีต่ำ และไม่ไปเพิ่มน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยระบุว่า คนที่ทานอินนูลินจะมีโอกาสเป็นเบาหวานน้อยกว่าคนที่ทานน้ำตาลถึง 40% เลยทีเดียว

สำหรับสรรพคุณอื่น ๆ ของ "แก่นตะวัน" ก็มีอย่างเช่น
          - ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย
          - ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
          - แก้อาการท้องเสีย ท้องผูก
          - ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้
          - ลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย
          - ป้องกันพิษของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว
          - ป้องกันอาการภูมิแพ้ และการแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
          - กระตุ้นการดูดซึมแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียม และธาตุเหล็ก
               ฯลฯ

โดย เราสามารถทาน "แก่นตะวัน" ได้ทั้งแบบสด ๆ เหมือนกับผักสลัดทั่ว ๆ ไป รสชาติจะออกคล้าย ๆ แห้วและมันแกว หรือจะนำไปปรุงสุกเป็นอาหารหลากหลายเมนูก็ย่อมได้ หรือหากใครจะลองนำหัวแก่นตะวันไปตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดให้แห้งแล้วนำไปอบ ป่นเป็นผงเล็ก ๆ ไปผสมกับแป้งทำขนม คุ้กกี้ ก็จะได้ขนมรสอร่อย แถมยังมีกลิ่นหอม และมีปริมาณอินนูลินจำนวนมากซึ่งดีต่อสุขภาพด้วย

          และ นอกจาก "แก่นตะวัน" จะเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงแล้วแล้ว ยังเป็นพืชที่มีประโยชน์ในด้านพลังงานทางเลือกอีก โดยหากนำหัวสดแก่นตะวัน 1 ตัน ไปหมักด้วยเชื้อยีสต์ จะได้แอลกอฮอล์ไปกลั่นเป็นเอทานอลที่บริสุทธิ์ 99.5% ได้ถึง 100 ลิตร ซึ่งมากกว่าอ้อย 1 ตัน ที่จะให้ปริมาณเอทานอลเพียง 75 ลิตร ดังนั้นแล้ว หากมีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการหมัก และกรรมวิธีต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เชื่อได้เลยว่า "แก่นตะวัน" จะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่งในไม่ช้า


จาก กระปุกดอทคอม
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ที่มา :http://health4friends.lnwshop.com
 

อาร์ติโชค พืชบำรุงตับ

อาร์ติโชค (Cynara scolymus)
เป็นพืชที่นิยมปลูกในต่างประเทศ เฉพาะภูเขาสูงมากกว่า 1,500 เมตร เท่านั้น ปี 2513 นักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรป ได้ค้นพบสารไซนาริน ” มีคุณค่าทางอาหาร และยา นำมาบริ โภคสด หรือปรุงอาหารได้ทุกส่วน หรือนำมาสกัดสารไซนาริน(Synarin) รับประทานเพื่อบำรุงรักษาสุขภาพได้ดี”  ในยุคโบราณอาร์ติโช๊คเป็นอาหาร และยารักษาโรคของชาวอียิปต์ ชาวกรีก และชาวโรมัน และเป็นเมนูอาหารที่สำคัญในทุกงานเลี้ยงของกรุงโรม นอกจากจะเป็นอาหารเสริม แล้วยังมีสรรพคุณทางยา ดังนี้
1. ช่วยบำรุง กระตุ้นการทำงานของตับ ซึ่งตับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ทำหน้าที่ในการสกัดสารพิษ หรือสิ่งแปลกปลอมออกจากกระแสโลหิต สร้างน้ำดีและน้ำย่อย และเปลี่ยนแปลงหรือสร้างสารอาหาร ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
2. กระตุ้น การสร้างน้ำดีของตับ ทำให้มีประสิทธิภาพในการลดไขมัน (Chloresteral) ในเลือด ช่วยให้ระบบหลอดเลือดและหัวใจทำงานดี ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
3. เสริมสร้างการทำงานของถุงน้ำดี ช่วยสร้างน้ำดีป้องกันถุงน้ำดีอักเสบ ซึ่งมักเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก ทำให้ระบบการย่อยอาหารดี ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก
4. ช่วยป้องกันตับอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคดีซ่าน  และโรคตับแข็ง (Cirrhosis)  ในประเทศบราซิล อาร์ติโช๊ค เป็นยาสมุนไพรพื้นฐาน ที่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยของตับ และโรคอื่นหลายโรค ได้อย่างกว้างขวาง เช่น โรคโลหิตจาง เบาหวาน ไข้ รักษาบาดแผล และเกาส์
ลักษณะของอาร์ติโชค
ลำต้นมีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 1 - 2 เมตร ใบมีสีเขียว ดอกมีสีเขียวแกมม่วงดอกมีลักษณะเป็นหัวมีกลีบซ้อนกันหลายชั้นคล้ายหัวกะหล่ำ ปลี ดูเผินๆ คล้ายดอกบัวหลวง มีอายุตั้งแต่ปลูก จนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 1 ปี

การเพาะปลูกอาร์ติโชค

1. ดิน ดินที่เหมาะสมแก่การเพาะปลูกอาร์ติโชคต้องเป็นดินที่อุ้มน้ำ และระบายน้ำได้ดีมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีอินทรีย์วัตถุไม่น้อยกว่า 5 – 7 % ในช่วงฤดูแล้งความชื้นในดินต้องไม่ต่ำกว่า 80% เพราะอาร์ติโชคเป็นพืชที่มีใบค่อนข้างใหญ่การคายน้ำของใบจึงสูง ในช่วงฤดูฝนหากน้ำในดินสูงเกินไปจะเป็นอันตรายต่ออาร์ติโชคที่มีอายุน้อย หรือต้นอ่อนอาร์ติโชคเป็นพืชชอบขึ้นในดินที่ค่อนข้างเป็นด่าง มีค่า pH อยู่ระหว่าง 6 – 6.5 ดังนั้นหากในพื้นที่ดินมีคุณสมบัติเป็นกรด เกษตรกรควรปรับลดความเป็นกรดของดินด้วยการใส่แคลปูนขาว และแคลเซี่ยมคลอไรด์ก่อนจึงค่อยปลูกอาร์ติโชค
2. ภูมิอากาศ ภูมิอากาศที่เหมะสมสำหรับการปลูกอาร์ติโชค ต้องมีอากาศเย็นตลอดปีอยู่เหนือกว่าระดับน้ำทะเลไม่น้อยกว่า 1,200 เมตรอาร์ติโชค เป็นพืชที่ต้องปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัด ราก ใบ ลำต้น และดอก จึงจะมีการเจริญเติบโตที่ดี สม่ำเสมอ และสะสมสารที่มีสรรพคุณทางยาได้มาก


จาก บทความคุณ ศักดา ศรีนิเวศน์,
สำนักพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร


 ที่มา :  http://health4friends.lnwshop.com

หญ้าปักกิ่งกับการรักษาโรคมะเร็ง

ดร. ผ่องพรรณ ศิริพงษ์
หัวหน้างานวิจัยสมุนไพร กลุ่มงานวิจัยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ

ปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับสองของประชากรไทยและมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกๆปี ยารักษา
โรคมะเร็งที่ใช้ในทางการแพทย์ ก็มีแต่ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพง ซึ่งจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดทั้งในรูป
ยาสำเร็จรูปหรือวัตถุดิบ อีกทั้งยังพบว่ามีผลข้างเคียงสูง ทางเลือกอีกทางหนึ่งของผู้ป่วยโรคมะเร็ง จึงหันมานิยม
ใช้สมุนไพรพื้นบ้านเพื่อนำมารักษาโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ สมุนไพรจากประเทศจีนชนิดหนึ่งซึ่งมีผู้นำมาเผยแพร่
ประมาณ 30 ปีมาแล้วและปัจจุบันก็ยังคงนิยมใช้อยู่อย่างแพร่หลาย คือหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง หรือเรียกชื่อ
ภาษาจีนว่า เล่งจือเฉ้า
หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao et
Kammathy อยู่ในวงศ์ Commelinaceae เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ไม่ใช่พืชในวงศืหญ้าทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก สูง
ประมาณ 7-10 ซ.ม. และอาจสูงได้ถึง 20 ซ.ม. ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ความยาวไม่เกิน 10 ซ.ม. ดอกออกเป็นช่อที่
ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกมีสีฟ้าปนม่วง ใบประดับกลม ยาวประมาณ 4 ม.ม. ร่วงง่าย เป็นพืชที่
ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย งอกงามในที่มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก เพาะปลูกโดยการเพาะชำหรือเพาะเมล็ด
ปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มาก

ตามสรรพคุณของตำรายาจีน จะใช้หญ้าปักกิ่งรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและกำจัดพิษ โดยจะใช้ทั้ง
ต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มออกดอก)
ประวัติความเป็นมาของการใช้หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งในประเทศไทย
หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า เป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนแถบสิบสองปันนา
มีการนำเข้ามาและปลูกแพร่หลายในประเทศไทย เมื่อ ปี พ.ศ. 2527 มีผู้ป่วยมะเร็งดื่มน้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่งเพื่อ
รักาาและบรรเทาอาการจากโรคมะเร็ง พบว่าสามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง บางรายใช้หญ้าปักกิ่งร่วมกับการ
รักษาแผนปัจจุบันเพื่อลดผงข้างเคียงเนื่องจากการใช้ยาเคมีบำบัด และเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วย
โรคมะเร็งรายหนึ่งที่แพทย์บอกว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 3 เดือน ขอให้นำผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่เมื่อผู้ป่วยกลับ
บ้านและดื่มน้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง หลังจากนั้น 1 ปี ผู้ป่วยดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่และกลับไปให้แพทย์คนเดิมตรวจ
ผลจากผู้ป่วยรายนี้จึงทำให้เกิดการศึกษาวิจัยคุณสมบัติของพืชชนิดนี้เกิดขึ้น
2จุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมีสรรพคุณว่า
- เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น
- เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด
2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง
- เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ำเหลืองไหล เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มี
หนองและน้ำเหลือง
ผลการวิจัยศึกษาหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง
สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ :
น้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง มีสารกลัยโคสฟิงโคไลปิดส์ (จี 1 บี) มีชื่อทางเคมีว่า 1-β-O-D-glycopyranosyl-2-
(2’-hydroxy-6’-ene-cosamide)-sphingosine (G1b) นอกจากนั้น ยังพบสารกลุ่มต่างๆได้แก่ คาร์โบไฮเดรต กรดอะ
มิโน กลัยโคไซด์ ฟลาโวนอยด์ และอะกลัยโคน(1-2)

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา:
- สารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี 1 บี) แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่
(SW 120) โดยมีค่า ED50∠16 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร (1-3)
- สารจี 1 บี แสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน (1-3)
- สารสกัดแอลกอฮอล์ของหญ้าปักกิ่งไม่ได้ช่วยยืดอายุ แต่ผลทางพยาธิวิทยาพบว่าสามารถลดความ
รุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้ จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิด
มะเร็งได้ (1-3)
- สารสกัดหญ้าปักกิ่ง มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น
AFB1(4)
- สารสกัดหญ้าปักกิ่งมีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ DT-diaphorase ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่
ก่อให้เกิดมะเร็ง(5-6)

ความเป็นพิษ
- ความเป็นพิษเฉียบพลัน น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโต
ชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญในหนูขาว ค่า LD50 เมื่อให้โดยการป้อนในหนูขาว
มากกว่า 120 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ซึ่งเทียบเท่า 300 เท่าของขนาดที่ใช้รักษาในคน จัดว่า
ค่อนข้างจะปลอดภัย(7)
- ความเป็นพิษเรื้อรัง พบว่า น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่งขนาดที่ใช้รักษาในคน มีความปลอดภัยเพียงพอ
หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน

ขนาดและวิธีใช้แบบดั้งเดิม
- ดื่มน้ำคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก่อนอาหาร ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่
น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม ถ้าเป็นเด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง
- ถ้าใช้สำหรับการปรับระบบภูมิคุ้มกัน จะรับประทานยาไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ และควรหยุดยาดังนี้
รับประทานติดต่อกัน 5-6 วัน หยุดยา 4-5 วันเช่นนี้จนกว่าครบกำหนด
วิธีเตรียม นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม หรือจำนวน 6 ต้น ล้างให้สะอาด
หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และโขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร)กรองผ่านผ้าขาวบาง

ผลข้างเคียง ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส

ข้อควรระวัง หากใช้เกินขนาด จะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน

ข้อควรคำนึงในการดื่มน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสด
- หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรคลุมดิน ให้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากดินมาที่ต้นและใบของ
หญ้าปักกิ่ง การนำหญ้าปักกิ่งมารับประทานสดต้องแน่ใจว่า ได้ล้างหลายครั้งจนสะอาดปราศจาก
เชื้อจุลินทรีย์ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเพียงพอ เมื่อดื่มน้าคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง ก็จะเป็นการดื่มเชื้อ
จุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายผู้ป่วย ซึ่งย่อมมีภูมิต้านทานต่ำ จึงอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ
- หญ้าปักกิ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายหญ้าอื่นๆหลายชนิด เช่น หญ้ามาเลเซีย ฯลฯ ซึ่งไม่มีประโยชน์
ทางยาเคยมีผู้บริโภคที่ซื้อหญ้าปักกิ่งตามท้องตลาดมาบริโภคด้วยราคาแพงแต่ไม่ใช่ชนิดที่ต้องการ
ดังนั้นก่อนจะซื้อมาบริโภคจะต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งที่ต้องการจริง
- หญ้าปักกิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย ต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสมดังนี้ คือ หญ้าปักกิ่งที่ปลูก
โดยการชำกิ่ง ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป ส่วนหญ้าปักกิ่งที่ปลุกด้วยการเพาะเมล็ด ต้องมีอายุ
มากกว่า 5 เดือนขึ้นไป จากการศึกษาพบว่าหญ้าปักกิ่งที่มีอายุไม่ครบเวลาดังกล่าว จะไม่มีการ
สร้างสาร G1b ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ทางยา
ดังนั้นการซื้อหญ้าปักกิ่งมาบริโภคนั้น ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งจริง เก็บเกี่ยวในขณะที่มีอายุครบเกณฑ์ที่
กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้นๆ จึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดดังประสงค์ มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าดังกล่าว
ที่สูญเปล่า ไม่ได้คุณสมบัติตามต้องการและอาจจะได้รับพิษ ถ้าในกรณีเลือกสมุนไพรชนิดอื่นมาบริโภค
ภาวะปัจจุบันของการพัฒนาหญ้าปักกิ่งที่ใช้เป็นยา
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรม ได้นำเอาหญ้าปักกิ่งมาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยยาทุก 2 เม็ด มีคุณค่าเท่ากับ
ต้นหญ้าปักกิ่ง จำนวน 3 ต้น โดยกำหนดขนาดรับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย
โดยมีระยะเวลาการรับประทานขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ คือ
1. ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือยาเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง จะรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน
2. ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีก หลังจากการรักษาแล้ว โดยรับประทาน 7 วัน
หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง
3. ใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกัน
เป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เแพาะช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ขณะติดเชื้อไวรัส

เอกสารอ้างอิง
1. วีณา จิรัจฉริยากูล สารต้านมะเร็งจากหญ้าปักกิ่ง จุลสารข้อมูลสมุนไพร 2542; 16(3): 10-13.
2. วีณา จิรัจฉริยากูล รายงานผลความก้าวหน้าของโครงการวิจัยหญ้าปักกิ่ง หนังสือรวบรวมผลงานการวิจัย
โครงการพัฒนาการใช้สมุนไพรและยาไทยทางคลินิก ปี 2526-2536 คณะกรรมการโครงการพัฒนาการใช้
สมุนไพรและยาไทยทางคลินิก มหาวิทยาลัยมหิดล หน้า 185-195.
3. Weena Jiratchariyakul, Primchanien Moomgkarndi, Hikane Okabe, Frahm A.W. Investigation of
anticancer components from Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao et Kammathy. Phama Indochina
1997; 171-191.
4. Intiyot Y, Kinouchi T, Kataoka K, Arimochi H, Kuwahara T, Vinitketkumnuen U, Ohnishi Y.
Antimutagenicity of Murdanis loriformis in the Salmonella mutation assay and its inhibitory effects on
azoxymethane-induced DNA methylation and aberrant crypt focus formation in male F344 rats. J.
Med. Invest. 49(1): 5-14.
5. Vinitketkumnuen U, Chewonarin T, Dhumtanom P, Lertpraseartsuk N, Wild CP. Aflatoxin-albumin
adduct formation after single and multiple doses of aflatoxin B1 in rats treated with Thai medicinal
plants. Mutat. Res. 1999; 48(1): 345-351.
6. วิริยา เจริญคุณธรรม, ปรัชญา คงทวีเลิศ, อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ การเหนี่ยวนำเอ็นไซม์ดีที-ไดอะฟอเรส
โดยสารสกัดจากหญ้าปักกิ่ง ใบมะกรูด และตะไคร้ เชียงใหม่เวชสาร 2537; 33(2): 71-77.
7. พิมลวรรณ ตันยุทธพิจารณ์, วัลลา รามนัฐจินดา, พรรณี พิเดช การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันของหญ้า
ปักกิ่งในหนูขาว สารศิริราช 2534; 48: 458-66.
8. พิมลวรรณ ตันยุทธพิจารณ์, เพียงจิต สัตตบุศย์, พรรณี พิเดช พิษกึ่งเรื้อรังของหญ้าปักกิ่งในหนูขาว
สารศิริราช 2534; 48(8): 529-533.




ที่มา : เอกสาร สถาบันมะเร็งแห่งชาติ,http://health4friends.lnwshop.com

ฟักข้าวพืชต้านมะเร็งและเพิ่ม CD4 ในคนไข้เอดส์

ฟักข้าว
เป็น ผักที่ชาวบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสานบ้านเรากินกันอยู่เป็นประจำ โดยจะกินยอดอ่อนและผลอ่อน เป็นผักลวกนึ่งกินกับน้ำพริกหรือแกงกิน เรามักจะพบผลอ่อนและยอดอ่อนของฟักข้าววางขายอยู่ในตลาดตามชุมชนทางภาคเหนือ ในภาคอีสานนั้นชาวบ้านจะกินยอดอ่อนและผลอ่อนเป็นผักเช่นกัน โดยจะเรียกฟักข้าวว่า “หมากอูบข้าว” เนื่องจากลักษณะผลจะคล้ายคลึงกับ “อูบข้าว” ภาชนะใส่ข้าวเหนียวของคนอีสาน มีลักษณะคล้ายๆ กระติบข้าวแต่มีรูปทรงรีๆ กลมๆ นอกจากจะกินผลอ่อนและยอดอ่อนแล้ว ชาวบ้านแถวอีสานยังกินเนื้อหุ้มเมล็ดสีแดงรสจืดๆ มันๆ เป็นของทานเล่น ส่วนเนื้อในเมล็ดก็มีหมอยาบางคนเอามากินเช่นกัน แต่ไม่นิยมกินกันในวงกว้างเท่าใดนัก

ฟักข้าว ผักรวย “ไลโคพีน”กินลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก
เมื่อ ไม่นานมานี้มีการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับผักเวียดนามชนิดหนึ่งชื่อ “แกก (Gac)” ในการมีสรรพคุณต้านมะเร็งอย่างแพร่หลาย ผักที่ว่านี้คือฟักข้าวนั่นเอง ฟักข้าวมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่คนเวียดนามดูเหมือนจะนิยมกินฟักข้าวมากกว่าชนชาติอื่นๆ โดยมักปลูกฟักข้าวพาดพ้นไม้ระแนงข้างบ้าน และเก็บเฉพาะผลสุกมาประกอบอาหาร โดยจะเอาเยื่อสีแดงจากผลฟักข้าวสุกพร้อมเมล็ดมาหุงกับข้าวเหนียวทำให้ข้าวมี สีแดง ใช้ในเทศกาลปีใหม่และงานมงคลสมรสเท่านั้นเพราะเชื่อว่าสีขาวไม่เป็นมงคล ปัจจุบันพบว่าเยื่อหุ้มเมล็ดของฟักข้าวสีแดงนั้นมีสารชื่อ “ไลโคพีน” โดยจะมีสารไลโคพีนสูงสุดในบรรดาผักผลไม้ที่ให้ไลโคพีนทั้งหลาย ดังนี้ มะเขือเทศสุก ๓๑ ไมโครกรัมต่อกรัม แตงโม ๔๑ ไมโครกรัมต่อกรัม ฝรั่ง ๕๔ ไมโครกรัมต่อกรัม ส้มโอ ๓๓.๖ ไมโครกรัมต่อกรัม เยื่อเมล็ดฟักข้าว ๓๘๐ ไมโครกรัมต่อกรัม เป็นต้น

ไลโคพีน
เป็น สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบได้ในผักและผลไม้บางชนิด มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่น เมื่อร่างกายของเราได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ วงการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่ามีผลลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร และที่สำคัญพบว่าไลโคพีนมักจะไปสะสมบริเวณต่อมลูกหมากและผิวหนัง อย่างไรก็ตามการต้านอนุมูลอิสระนั้นต้องทำงานกันเป็นทีม ดังนั้นควรจะรับประทานอาหารให้หลากหลาย ที่สำคัญคือรายงานการศึกษาสมัยใหม่มีความขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลาว่าปริมาณ สารไลโคพีนมีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากจริงหรือไม่ แต่เมื่อไม่นานนี้พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับสารไลโคพีนมีปริมาณของสารที่เป็นตัว ชี้วัดสุขภาพของต่อมลูกหมาก prostate-specific antigen (PSA) ลดลง ซึ่งหมายถึงสุขภาพของต่อมลูกหมากดีขึ้น ในขณะที่กลุ่มควบคุมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการรับประทานผักที่มีสารไลโคพีนสูงจึงมีประโยชน์ต่อผู้ชายซึ่งมักจะ มีปัญหาของต่อมลูกหมากเมื่อสูงวัยขึ้น
ปัจจุบันมีรายงานการ ศึกษาวิจัยของฟักข้าวต่อการรักษาและป้องกันมะเร็งในประเทศต่างๆ เช่นจีน พบว่าโปรตีนจากเมล็ดฟักข้าวมีความสามารถต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานของเซลล์ตับในหลอดทดลอง ประเทศเวียดนามพบว่าน้ำมันจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวมีประสิทธิภาพในการรักษา มะเร็งตับ ประเทศไทยพบโปรตีนในเมล็ดฟักข้าวมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อเอชไอ วี-เอดส์ และยับยั้งเซลล์มะเร็งโดยจดสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้ว
งาน วิจัยอื่นในต่างประเทศพบว่า เมล็ดแก่ของฟักข้าวมีโปรตีนมอร์มอโคลซิน-เอส และโคลซินิน-บี มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของไรโบโซมซึ่งเป็นแหล่งผลิตกรดอะมิโน และต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งหลายชนิดในหลอดทดลอง ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนาเภสัชภัณฑ์ต้านมะเร็งได้ในวันข้างหน้า ประเทศญี่ปุ่นทำการวิจัยพบว่า โปรตีนจากสารสกัดน้ำของผลฟักข้าวยับยั้งการเจริญของก้อนมะเร็งลำไส้ใหญ่ใน หนูทดลอง และน้ำสกัดผลฟักข้าวยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ใหญ่โดย ทำให้เซลล์แตกตาย จากการศึกษาที่ผ่านมาจะเห็นว่าในส่วนที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งนั้นมาจากสาร โปรตีนในเมล็ดแก่ น้ำมันจากเยื่อหุ้มเมล็ด น้ำสกัดจากผล แต่ในส่วนของเนื้อในเมล็ดนั้น เนื่องจากไม่มีการรับประทานกันทั่วไปอย่างกว้างขวาง จึงควรที่จะต้องศึกษาหาความปลอดภัยก่อนที่จะนำมาใช้กิน ส่วนเยื่อหุ้มเมล็ดนั้นมีการทำเป็นเครื่องดื่มออกจำหน่ายกันบ้างแล้วในต่าง ประเทศ สำหรับท่านที่ปลูกฟักข้าวไว้ ก็อาจจะรวบรวมสารเยื่อหุ้มเมล็ดตากเก็บไว้ชงน้ำกินเป็นเครื่องดื่มบำรุงสาย ตา บำรุงสุขภาพก็ได้ ในส่วนที่เป็นผลนั้นชาวบ้านกินกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นการปลูกการกินฟักข้าวมีแต่ประโยชน์กับประโยชน์

ฟักข้าว ยาเย็นแก้ไข้ แก้พิษ
ฟักข้าว เป็นสมุนไพรที่นิยมใช้เป็นยาดับพิษร้อนถอนพิษไข้ มักจะพบการใช้เถา ราก หรือใบ เป็นส่วนประกอบของการรักษา การถอนพิษผิดสำแดง ดับพิษไข้ทั้งปวง แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษอักเสบ แก้กษัย แก้พิษฝี แก้ฝีในท้อง แก้ปวดบวม ดูดหัวฝี แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ฆ่าเหา รวมทั้งใช้สระผมแทนแชมพู ส่วนของเมล็ดก็นิยมใช้เป็นยาทาภายนอกโดยตำผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว ในการรักษาหูด อาการอักเสบบวม กลากเกลื้อน ฝี อาการฟกช้ำ อาการผื่นคันและโรคผิวหนังติดเชื้อต่างๆ

ฟักข้าว อาหารพื้นบ้าน ใครทานก็ติดใจ
ผล ฟักข้าวอ่อนสีเขียวรสชาติเหมือนมะละกอดิบ นิยมลวกหรือต้มให้สุก ต้มกะทิจิ้มน้ำพริก แจ่ว ป่น ลาบหรือแกงกิน ยอดอ่อน ใบอ่อนเช่นกันกับยอดบวบ ยอดฟักทอง นำมานึ่งหรือลวกให้สุกกินกับน้ำพริก แจ่ว ป่น ลาบ หรือนำไปปรุงเป็นแกง เช่น แกงแค ผลสุกกินได้รสหวานปะแล่มๆ แต่เนื้อน้อยกว่าแตงไทยมาก เยื่อหุ้มเมล็ดนิยมนำมากินเล่น รสจืดๆ มันๆ สัตว์ป่าจำพวกหมูหริ่ง เก้ง บ่าง ชอบมากินผลสุกที่ร่วงลงมา แล้วช่วยกระจายพันธุ์ให้กับฟักข้าวในธรรมชาติ
  ฟักข้าวเป็นผัก พื้นบ้านที่คนปัจจุบันหันกลับมาให้ความสำคัญกันมากด้วยกลัวการเป็นมะเร็ง นับเป็นปัญหาสุขภาพที่คร่าชีวิตคนไทยไปปีละไม่น้อยกว่า ๖๐,๐๐๐ คน นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้คนไทยได้หันกลับมาศึกษาภูมิปัญญาของปู่ย่าตา ยาย เพื่อนำมาปรับใช้กับสังคมสมัยใหม่อย่างรู้เท่าทันและเข้าใจ

วิธีทำน้ำฟักข้าว
1.นำผลฟักข้าวสุกมาผ่าครึ่ง คว้านเอาเมล็ดสีแดงออก
2.นำเมล็ดฟักข้าวใส่ในภาชนะทรงกระบอก เติมน้ำต้มสุก 2 ถ้วย ตีด้วยตะกร้อตีไข่หรือซ้อม ให้เยื่อหุ้มเมล็ดหลุดออกจากเมล็ด
(ระวังอย่าให้เมล็ดแตก เพราะเมล็ดมีฤทธิ์เป็นยาเบื่ออ่อนๆ ที่อาจทำให้เอาเจียนและท้องเสียได้) กรอกเอาแต่น้ำสีแดง
3. เติมน้ำต้มสุกอีก 1 ถ้วย ตีจนเยื่อหุ่มเมล็ดหลุดออกมาจนหมดและน้ำที่ได้ใสขึ้น
4.น้ำ น้ำฟักข้าวไปผสมกับน้ำผลไม้กลิ่นแรง เช่น เสาวรส สับปะรด ฝรั่ง เพิ่มเพื่อรสชาติ เนื่องจากน้ำฟักข้าวอาจรับประทานยากกว่าน้ำผลไม้ทั่วไปที่มีรสหวานหรือ เปรี้ยวอมหวาน การนำไปผสมกับน้ำผลไม้จะช่วยรับประทาได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้คุณค่าสารอาหารเพิ่มมากขึ้น



ที่มา : health4friends.lnwshop.com

เห็ดหลินจือรักษามะเร็งได้จริงหรือ?

ผลการศึกษาทางวิทยาศาตร์ของเห็ดหลินจือ

การศึกษาที่ 1 การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือในด้านการรักษาโรคมะเร็ง

เป็น การศึกษาแบบเปิด (ไม่เลือกยี่ห้อ) ศึกษาถึงประโยชน์ที่มีต่อสุุขภาพของผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือในเรื่องของการ เพิ่มขึ้นของภูมิคุ้มกันในแต่ละบุคคลศึกษากับคนไข้ที่ป่วยเป็นมะเร็ง (ไต ช่องท้อง เต้านม) และรักษาด้วยวิธีการฉายรังสีและเคมีบำบัด จำนวน 48 ราย ผู้ป่วยทุกคนได้รับประทานสารสกัดจากเห็ดหลินจือจำนวน 1.5 กรัมต่อวัน วันละ 2 ครั้ง เป็นจำนวน 36 วัน

ผลการศึกษา

  • หลังจากรับประทาน เห็ดหลินจือสกัดแล้วระดับอัตราส่วนของเซลล์เม็ดเลือด ขาวชนิด CD4 ต่อ CD8** รวมทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell เพิ่มขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเซลล์เม็ดเลือดขาวนี้ช่วยให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่มีภูมิ คุ้มกันที่สูงขึ้น
  • ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้เคมีบำบัดหรือการ ฉายรังสีก็ลดลงด้วย เช่น อาการผมร่วง เวียนศีรษะ อาเจียน เจ็บคอ ไม่ว่าจะรับประทานผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือก่อนหรือหลังการบำบัด ขนาดที่แนะนำคือ ครั้งละ 3 กรัม วันละ 3 เวลา (Teow, 1996)
  • ผู้ป้่วยสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้นและดูมีชีวิตชีวาเพิ่มมากขึ้น
  • ผู้ ป่วยที่รับประทานผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือสกัดหลังจากได้รับการผ่าตัด นั้น บาดแผลจากการผ่าตัดจะฟื้นตัวและหายเร็วขึ้นพร้อมทั้งไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ (Kupin 1992)
หมายเหตุ**
  1. เซลล์ CD4 เรียกอีกอย่างว่า helper T cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีแอนติเจนชนิด CD4 บนผนังเซลล์ ทำหน้าที่ส่งเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอื่น เช่น B cell ในการสร้างแอนติบอดี้จำเพาะ
  2. เซลล์ CD8 หรือ killer cells หรือ suppressor cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีแอนติเจนชนิด CD8 บนผนังเซลล์ ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ผิดปกติหรือที่เกิดจากการติดเชื้อ

การศึกษาที่ 2 การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

การ ศึกษานี้เป็นการศึกษาในประเทศไต้หวันโดยรูปแบบของการทดลองจะแบ่งออก เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรกทำการทดสอบโดยให้หนูรับประทานเห็ดหลินจือส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มที่ รับประทานยาหลอก (Piacebo) เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์

ผลการศึกษา

กลุ่มที่ได้รับเห็ดหลินจือจะมีการเพิ่มขึ้นของภูมิคุ้มกันหลายชนิด้วยกัน เช่น
  • อิมมูโนกลอบบูลินชนิด จี เอ็ม และเอ (ดังกราฟที่ 1)
  • เพิ่มกระบวนการสร้างเม็ดเลือดขาวให้กับร่างกาย
  • มีการสร้างไซโตไคน์*** (Cytokines) ชนิด IL-2, IL-5, IL-6 และ IFN เพิ่มขึ้น (ดังแสดงในกราฟที่ 2)
    หมายเหตุ*** ไซโตไคน์ (Cytokines) คือสารช่วยกำกับเม็ดเลือดขาว เป็นตัวช่วยลดการอักเสบ และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
กราฟแสดงการเพิ่มขึ้นของภูมิคุ้มกัน

การศึกษาที่ 3 การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือในด้านการยับยั้งเซลล์มะเร็ง

การ ศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงประสิทธิภาพของเห็ดหลินจือที่มา จากแหล่งต่างๆ กันดังแสดงในตารางที่ 1 ว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งเซลล์มะเร็งมากน้อยเพียงไร โดยศึกษาถึงการยับยั้งเซลล์มะเร็งชนิด MDA-MB-231 ที่ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมและเซลล์มะเร็งชนิด PC-3 ที่ก่อให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ผลการศึกษาแสดงดังตารางที่ 2, กราฟที่ 1 และ 2
ตารางแหล่งและส่วนที่นำไปใช้ของเห็ดหลินจือ

ผลการศึกษา

จาก การทดลองสรุปได้ว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) มีคุณสมบัติในการยับยั้งเซลล์มะเร็งทั้งชนิด MDA-MB-231 และ PC-3 โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือที่ได้จากสารสกัดและการทำให้สปอร์แตก ออกเป็นผง

การศึกษาที่ 4 การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือในด้านการทำงานของตับ

เป็น การศึกษาถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเห็ดหลินจือสกัดต่อ สุขภาพของตับรวมทั้งส่งเสริมการทำงานของตับให้ดีขึ้น ทำการทดลองกับหนูทดลองที่ได้รับการฉีดเชื้อไวรัสตับอักเสบ และหลังจากได้รับเชื้อแล้วก็จะทำการฉีดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเห็ดหลินจือสกัด เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ พร้อมทั้งทำการตรวจระดับของเอนไซม์ Glutamate Pyruvate Transaminase (GPT) และ Glutamate-Oxaloacetate Transaminase (GOT) ในกระแสเลือด ซึ่งเอนไซม์ทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ทีพบปริมาณมากใน ตับ ไต และหัวใจ แต่หากตับและไตถูกทำลายหรืออยู่ในภาวะการทำงานหนัก เอนไซม์ดังกล่าวจะถูกปล่อยไปอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งผลการทดลองสามารถแสดงได้ดังกราฟที่ 1 และ 2 ตามลำดับ
กราฟแสดงปริมาณที่ลดลงของเอนไซม์ GPI

ผลการศึกษา

  • ในกลุ่มที่ได้รับผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือสกัด ระดับเอนไซม์ GPT และ GOT ในกระแสเลือดลดลง
  • ป้องกันการลดลงของปริมาณแอลบูมินและโปรตีนในตับ ช่วยให้ตับมีการทำงานที่ดีขึ้น
  • น้ำหนักของม้ามลดลง
  • มีการลดลงของเอนไซม์ทรานส์อะมิเนส (Transaminase)
ดัง นั้น จากการทดลองสามารถสรุปได้ว่าผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือสกัดช่วยดูแลสุขภาพของตับ และส่งเสริมการทำงานของตับให้ดีขึ้นโดยสังเกตได้จากการลดลงของเอนไซม์ GPT และ GOT ในกระแสเลือด
หมายเหตุ***
  • การ วัดระดับเอนไซม์ GPT และ GOT นั้นเพื่อตรวจสอบสุขภาพเซลล์ตับ ว่าถูกทำลายหรืออักเสบหรือไม่หากพบเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิดสูงแสดงว่า เซลล์ตับถูกทำลายหรือตับอักเสบ
  • แอลบูมินเป็นโปรตีนที่ตับสร้างขึ้น หากพบว่าระดับแอลบูมินในเลือดลดลง แสดงว่าการทำงานของตับเสื่อมลง
  • หากระดับเอนไซม์ทรานอะมิเนส ในเลือดสูง แสดงว่า เซลล์ตับถูกทำลายหรือเสื่อม
  • หากพบม้ามโต แสดงว่าตับอาจมีการอักเสบ หรือเป็นตับแข็ง

การศึกษาที่ 5 การศึกษาเกี่ยวกับเห็ดหลินจือในด้านการช่วยลดอาการเมื่อยล้าและอ่อนเพลีย

เป็น การศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเห็ดหลินจือในเรื่องของการช่วย ลดอาการอ่อนเพลียและอ่อนแรง โดยใช้อาสาสมัครที่มีอาการดังกล่าวจำนวน 37 คน การทดลองทำโดยให้อาสาสมัครทุกรายรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเห็ดหลินจือ สกัด (PX) เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ หลังจากนั้นสังเกตและวัดผล

ผลการศึกษา

หลัง จากการทดลองเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ หลังจากรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเห็ดหลินจืออาการอ่อนเพลียและเมื่อยล้า ลดลง 53.6% รวมทั้งเพิ่มกระบวนการทำงานของต่อมน้ำเหลือง และระดับของภูมิคุ้มกันชนิด IL-2 และอิมมูโนกลอบบูลิน ชนิด จี เพิ่มขึ้นอย่างเป็นนัยสำคัญ
ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเกี่ยวกับยาจีนแผนโบราณ โดย ศาสตราจารย์ฟง-ลิน ชู
ศาสตราจารย์ ฟง-ลิน ชู - ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์และคณบดี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งไทเป ในระหว่างที่ท่านศึกษาและทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยคิวชูในฟูกุโอกะประเทศ ญี่ปุ่น ท่านได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ส่วนประกอบของยาจีนที่มีคุณสมบัติในการลดลาย (Soluble Chinese Medicine ingredients) เพื่อใช้ในการรักษาโรค ซึ่งท่านจัดเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกในเรื่องดังกล่าวที่ภายหลังงานวิจัยของ ท่านได้ถูกนำไปเป็นแม่แบบในงานวิจัยอีกหลายฉบับ
ในปัจจุบันเรื่องของ การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ทุกคนหันมาให้ความสนใจกัน มากในอันดับต้นๆ ยาจีนแผนโบราณ (Traditional Chinese Medicine) และพืชสมุนไพรได้ถูกนำมาศึกษาวิจัยและช่วยส่งเสริมในการรักษาควบคู่กับยาแผน ปัจจุบัน ศาสตราจารย์เฟง-ลิน ชู กล่าวว่า แม้ว่าจากประสบการณ์ของท่านในงานค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของยาจีนแผน โบราณท่านก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจและเปิดเผยถึงความวิเศษของพืชเหล่านี้ ได้อย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะคุณสมบัติต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเรา ยกตัวอย่าง เช่น ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกมีการวิจัยและค้นคว้าถึงคุณสมบัติของเห็ดหลินจือ ในทางการแพทย์เป็นจำนวนมากเช่น
  1. เห็ดหลินจือช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบริเวณเต้านม เห็ดหลินจือมีคุณสมบัติในการส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายยับยั้งการ เจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้เห็ดหลินจือยังช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันอาการข้างเคียงที่อาจ เกิดขึ้นได้จากการรักษามะเร็งด้วยการฉีดสารเคมี (Chemotherapy)
  2. ส่งเสริมการทำงานของตับ ส่งเสริมการทำงานของตับโดยเฉพาะในเรื่องของการกำจัดสารพิษ (Detoxification) และการสร้างเซลล์ของตับใหม่ขึ้นอีกครั้ง
  3. ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น ไขข้ออักเสบ โรคหืด เป็นต้น
  4. อื่นๆ ลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในกระแสเลือด ส่งเสริมระบบหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันอาการไอ และซึมเศร้า
ที่มา :http://health4friends.lnwshop.com/