วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ถั่งเช่า (ถั่งเฉ้า) "ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย"

ถั่งเช่า-ถั่งเฉ้า หรือ  (ตั่งถั่งแห่เช่า/ตั่งถั่งเช่า) 
 
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cordyceps sinessis  ถั่งเช่าเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณเป็นยาช่วยบำรุงร่างกาย สมุนไพรถั่งเช่า เป็นสมุนไพรจีนธาตุอุ่น ให้กลิ่นหอม ไร้พิษ มีรสขมอมหวาน บำรุงปอดและบำรุงไต บำรุงกำลัง แก้อาการอ่อนเพลียบำรุงได้ทั้งธาติหยิน-หยาง และเสริมสมรรถภาพเพสสำหรับเพศชาย ถั่งเช่า จึงได้ฉายาอีกอย่างว่า “สมุนไพรบำบัดอาการอ่อนเพลียได้ร้อยชนิด”  เป็นยาบำรุงร่างกายชั้นยอด ที่ได้จากการผสมผสานกันระหว่างตัวหนอนและเห็ดตังถั่งเช่า หรือ ตังถั่งแห่เช่า แปลว่า "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" 
ถั่งเช่า มีรสหวาน ฤทธิ์ไม่ร้อน เข้าเส้นลมปราณไต บำรุงไต เสริมภูมิคุ้มกัน และพลังชีวิต แก้อาการอ่อนเพลีย ภูมิแพ้ แก้ไอ ละลายเสมหะ หอบหืด ไอเรื้อรัง อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เข่าอ่อน เอวอ่อน ทำให้แก่ช้า และเป็นยาบำรุงสำหรับผู้ป่วยฟื้นไข้
การทดลองทางการแพทย์ยังพบว่า สารสกัดจากตังถั่งเช่า มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด กระตุ้นสมรรถภาพการทำงานของต่อมหมวกไต เพิ่มภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยโรคไต ช่วยลดจำนวนครั้งของการฟอกไต สมานแผลจากเบาหวาน ช่วยลดการโตของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง
 

ลักษณะพิเศษของ ถั่งเช่า-ถั่งเฉ้า
 
    ถั่งเช่ามีลักษณะพิเศษ ทั้งนี้เพราะเป็นการรวมตัวของหนอนกับเห็ดชนิดหนึ่ง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหญ้าหนอน
 
    ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แผนจีน จากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแห่งนครเซี่ยงไฮ้ บอกอีกว่ามียาตำราจีน ไม่น้อยกล่าวถึงประโยชน์ของถั่งเช่า เช่นในตำราเมื่อ 1000 ปีก่อน บอกว่ามีสรรพคุณรักษาปอด เสริมหยางไต หยุดการเลือดออกทางเสมหะ รักษาการไอเรื้อรัง ช่วยให้น้ำอสุจิแข็งแรง บำรุงสตรีให้มีบุตรง่าย ปรับประจำเดือน ให้เลือดลมดีขึ้น
 
    ถั่งเช่านี้สามารถกินแบบสดหรือจะนำมาต้มหรือทำเป็นผง ผสมกับโสมคน สูตรนี้ช่วยบำรุงโดยเฉพาะกับผู้ที่อวัยวะเพศไม่แข็งแรง

หมอเคยนำมารักษาคนไข้ที่ธาตุหยางพร่องในไต (อาการหยางพร่อง คือ ทำให้ปวดหลัง หัวเข่าเย็น กลัวหนาว ปัสสาวะบ่อย) รวมถึงอาการของผู้ป่วยที่ตับไม่แข็งแรง ส่งผลให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง โดยจากผู้เข้ารับการรักษา 20 คน ผลปรากฏว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น 90 % และฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้ถึง 64%
 
    ปัจจุบันถั่งเช่าอย่างดีราคาสูงถึงกิโลกัรมละ 120,000 บาท จึงมีการนำเชื้อราไปเพาะเพื่อผลิตเป็นแคปซูลขาย
 
    ข้อมูลอ้างอิงจากการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการถั่งเช่ามีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะสารคอร์ไดเซหิน (Cordycepin) มีฤทธิ์ บำรุงไต กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาสมดุลย์ของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด รวมถึงฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ
 
    งานวิจัยพบว่าหากกินถั่งเช่าวันละ 1 กรัมเป็นเวลา 46 วัน จะช่วยให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น 644%

คุณสมบัติของถั่งเช่า

 

















  • ฟื้นฟูสมรรถนะของไต ช่วยบรรเทาอาการและรักษา ไตอักเสบ นิ่วในไต เสริมภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยโรคไต
  • ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ ให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
  • ช่วยชะลอความแก่ บำรุงร่างกาย ลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
  • ช่วยบรรเทาอาการ และรักษาโรคภูมิแพ้ ให้ร่างกายมีความสมดุล
  • สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก ตังถั่งเช่า จะเติมเต็มน้ำอสุจิและไขกระดูก
  • เพิ่มประสิทธิภาพของปอด และหลอดลม
  • ช่วยบรรเทาอาการ และรักษาโรคต่อมลูกหมาก
  • ช่วยบรรเทาอาการ และรักษาอาการอ่อนเพลีย ปวดเอว
  • ปรับสมดุลของความดันโลหิตในร่างกาย
  • กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนต่อมหมวกไต ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญกับร่างกายอย่างมาก


  • การทดลองทางการแพทย์ยังพบว่า สารสกัดจากตังถั่งเช่า มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด กระตุ้นสมรรถภาพการทำงานของต่อมหมวกไต เพิ่มภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยโรคไต ช่วยลดจำนวนครั้งของการฟอกไต สมานแผลจากเบาหวาน ช่วยลดการโตของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง
 
ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com
รูปประกอบจากอินเตอร์เนท  
 
 
 

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชาเขียว ช่วยลดความอ้วนได้

 ชาเขียวช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือ?

มีหลักฐานที่แสดงว่าชาเขียวสามารถลดนํ้าหนักได้ โดยในเดือนพฤศจิกายน 1999 วารสาร The American Journal of Clinical Nutrition ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเจนีวาใน สวิสเซอร์แลนด์ นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มทั้งสารสกัดคาเฟอีนและชาเขียว มีการเผาไหม้แคลลอรี่มากกว่า คนที่ได้คาเฟอีนอย่างเดียว เรามารู้จักชาเขียวกัน

ชาเขียว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า  Camellia  Sinensis มีสายพันธุ์มากกว่า 1200 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันมากมาย ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ปลูก เป็นทั้งไม่พุ่มและไม้ยืนต้น ที่มีอายุตั้งแต่ 60-300 ปี ไม้พุ่มทั่วไป จะมีการตัดแต่งให้เก็บยอดได้ง่าย มักจะสูงไม่เกิน 1.50 เมตร ที่เป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุมากที่สุด พบที่ยูนนานของจีน มีอายุ มากกว่า 300 ปี มีความสูง 15-20 เมตร
ชาเขียวเป็นที่ยอมรับแล้วว่ามีกำเนิดจากประเทศ จีน ในอดีตมีการค้าขายเดินเรือไปทั่วโลกทำให้ชาเขียวแพร่ไป    ยุโรป อินเดีย บราซิล และที่อื่นๆ ชาเขียว ต้นเดียวกัน สามารถทำเป็นชาที่นิยมกันได้ ถึงสามชนิดคือ

- ชาเขียว (  Green tea )
- ชาอูหลง ( Oolong Tea )
- ชาดำ ( Black Tea )

ชา ทั้งสามชนิดมาจากชาเขียวต้นเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธีที่ต่างกัน เมื่อเก็บเกี่ยวใบชาออกมาจากต้นแล้ว คือ ชาเขียว เป็นชาที่ไม่ผ่านการหมัก เมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว มีการอบความร้อน เพื่อไล่ความชื้น หรืออบไอน้ำ การอบความร้อนหรือไอน้ำจะยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้ชาถูกหมัก เมื่ออบแล้วจะนำมาคั่วแห้งและเก็บไว้ชงชา ชาอูหลงเป็นชา กึ่งหมัก (Semi fermented) คือเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ผึ่งความร้อนเพียงเล็กน้อย จะมีการนวดชาด้วยมือให้ช้ำ และเกิดเอนไซม์ เป็นการหมักเล็กน้อย ระยะหนึ่งจึงนำไปคั่ว ชาดำ จะถูกทิ้งให้ผ่านการหมักเต็มที่จนใบชากลายเป็นสีเข้ม  ชาทั้งสามชนิด จะมีรสชาติที่ต่างกันออกไป แต่ชาเขียวจะมีคุณค่ามากที่สุดเพราะสารต้านอนุมูลอิสระไม่ถูกทำลายจากาการ หมัก
ยัง มีชาอื่น ๆ อีก เช่น ชาขาว ซึ่งก็เป็นชาเขียว แต่เด็ดแต่ยอดชาในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ใบชาจะมีขนอ่อนและเป็นสีขาว จะมีคาเฟอีนน้อยที่สุด


ชาเขียว ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายหลายประการ  โดยมี สารสำคัญที่ทำให้เกิดประโยชน์ ( Active health component ) เรียกว่า โพลีฟีนอล ( Polyphenols ) หรือเรียกกันทั่วไปว่า คาเทชิน ( Catechins )  ซึ่ง Catechins นี้จะมีปริมาณ 30-40 % ของส่วนที่เป็นของแข็งที่สามารถสกัดได้จากใบชาเขียวแห้ง  คาเทชินที่อยู่ในชาเขียว ประกอบไปด้วย Epigallocatechin-3-gallate (EGCG), Epicatechin-3-gallate, Epicatechin, Epigallocatechin, Gallocatechin gallate and Catechin   ในทั้งหมดนี้ สารที่มีมากที่สุดก็คือ Epigallocatechin-3-gallate หรือ  อี จี ซี จี ( EGCG )     ขนาดใบชาเขียวแห้ง 1 ซอง ( 1.5 กรัม ต่อซอง ) จะให้ EGCG ประมาณ 35 - 110 mg   EGCG นับได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ  ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในชาเขียวและมีปริมาณมากที่สุด มีความแรงของการต้านอนุมูลอิสระ มากกว่า วิตามิน C  และวิตามิน E  25-100 เท่า  การรับประทานชา ประมาณ 1 แก้วต่อวัน จะให้สารต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าการรับประทาน แครอท บรอคเคอรี่ ผักโขม และสตรอเบอรี่ ในขนาดที่รับประทานในแต่ละมื้อ   และมีหลายงานวิจัยระบุว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

1. ช่วยลดความอ้วน
ด้วย กลไกของการกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน ( Stimulates fat oxidation ) มีรายงานวิจัยที่มีข้อมูลสนับสนุนว่า EGCG ช่วยเพิ่มกระบวนการ การเผาผลาญพลังงานของเนื้อเยื่อไขมัน และมีรายงานการทดลองในคนแล้วว่า ช่วยลดความอ้วนได้ 

2. ช่วยลดไขมันในเลือด
แม้ จะลดไขมันในเลือดได้ไม่มากนัก แต่ก็มีงานวิจัยที่ดีรองรับสองงานวิจัย ในงานวิจัยแรก พบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงการดื่มชาในปริมาณปานกลางหรือปริมาณมาก ร่วมด้วยจะลดปริมาณ ไขมันในเลือดชนิด ไตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญใน ช่วง 6 ชั่วโมงหลังทานอาหารและดื่มชา โดยลดการเพิ่มระดับของไขมันชนิด ไตรกลีเซอรไรด์ในเลือดได้ถึง 15.1-28.7%  อีกงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มชาประมาณ สองถ้วยต่อวัน สามารถลดไขมันในเลือดชนิดโคเลสเตอรอลลงได้เล็กน้อย (119 เป็น 106 มก/ดล.) แต่ก็มีนัยสำคัญทางคลินิก 

3. ช่วยโรคเส้นเลือดอุดตัน
มี รายงานวิจัยว่า  สารสำคัญในชาเขียว สามารถลดการหดเกร็งของเลือดฝอย ลดการเกิดตะกอน ( Plaque ) ในเส้นเลือดฝอย ทำให้ลดอุบัติการ ของโรค กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด ( Myocardial infarction )  และอัมพฤกษ์ อัมพาตจากเส้นเลือดตีบตัน  ( Storke )  นอกจากนี้ EGCG ยังเป็นตัวยับยั้งการเกิด การสันดาปOxidation ของโคเลสเตอรอล  ทำให้ลดการเกิด การสะสมสร้าง ตะกอน ( Plaque ) ในเส้นเลือด จาก โคเลสเตอรอล ทำให้ลดการเกิด เส้นเลือดแข็งตัวตีบตัน ( atherosclerosis )  และลดอุบัติการณ์ของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (Cronary atherosclerosis )  ในงานวิจัยในสัตว์ทดลองยังลดการเกิดเส้นเลือดในปอดตีบตัน (Pulmoary Thrombosis) อีกด้วย  ส่งให้เป็นผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดหัวใจ 

4. ต่อต้านอนุมูลอิสระ และ ต่อต้านมะเร็ง ( Antioxidant and Anticancer ) ชาเขียวมีผลต่อการยับยั้งการเกิดมะเร็งได้หลายชนิดทั้งในคนและสัตว์ เพราะมีฤทธิ์ทางด้านการต้านอนุมูลอิสสระอย่างมาก  การวิจัยทางระบาดวิทยาพบว่า ในกลุ่มผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมลูกหมาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งผิวหนังลดลง ทั้งนี้เพราะสารสกัด ประเภทโพลีฟีนอลในชาเขียวมีผลยับยั้งมะเร็งจำนวนมากด้วยกลไกที่หลากหลาย โดยเฉพาะสารสำคัญตัวหนึ่งในชาเขียวคือ epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูงในชาเขียว ยังมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของคนอย่างชัดเจน ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าการรับประทานชาเขียว มีผลยับยั้งการก่อมะเร็งได้หลายชนิด ที่มีงานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสามารถยับยั้งมะเร็งของ ผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก  สำหรับมะเร็งในคนที่มีงานวิจัยดีที่สุดคือ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งผิวหนัง ตามมาด้วยมะเร็งเต้านม โดยพบว่า สาร EGCG สามารถลด การเติบโต เซลล์มะเร็งเต้านมในคนได้ และยับยั้งมะเร็งเต้านมของหนูได้ การวิจัยนี้ บอกถึงศักยภาพในอนาคตที่จะนำมารักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และงานวิจัยล่าสุด ได้มีงานวิจัยโดยใช้สารสกัดชาเขียวในผู้ป่วยมะเร็งปอดเป็นครั้งแรก ซึ่งยังเป็นการทดลองเบื้องต้น พบว่าได้ผลเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่ดื้อต่อยาต้านมะเร็งมากที่สุดชนิดหนึ่ง อยู่แล้ว แต่ก็บอกศักยภาพในการต้านมะเร็งของสารสกัดชาเขียวได้เป็นอย่างดี

5. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้หลายสายพันธ์ที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ ทำให้ช่วยปกป้องโรคฟันผุได้

 เมื่อ บริโภคชาเขียวทั่วไป จะพบว่าในชาเขียว ยังมีสาร คาเฟอีน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน   จึงเป็นที่แนะนำว่า ไม่ควรรับประทาน ชา/กาแฟ ก่อนนอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ และ ไม่ควรบริโภคในเด็ก แต่ในสารสกัดจากชาเขียว อีจีซีจี  จะมีคุณประโยชน์เท่ากับชาเขียวคุณภาพดี 1 แก้ว แต่ จะมีสารคาเฟอีนในปริมาณที่น้อยมากๆ  คือในปริมาณ เพียง 0.05 ม.ก. ซึ่งน้อยกว่าชาเขียวที่ชงดื่มทั่วไป ถึงประมาณ 900 เท่า ทำให้ไม่มีผลต่อการกระตุ้นประสาท หรือนอนไม่หลับ แต่อย่างใด

ที่มา  health4friends.lnwshop.com
ขอบคุณ รูปจากอินเตอร์เน็ท