วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

ข้อคิดทางธรรมะจากงานศพ

ข้อคิดทางธรรมะที่ได้จากงานศพ
ในการจัดการศพ จะมีประเพณีปฏิบัติบางอย่างที่ทำมาแต่โบราณ
ซึ่งสอดแทรกความหมายทางธรรมไว้  เรามาดูกันครับ

1. มัดตราสังข์สามเปราะ
 มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก
มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา
มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ
ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น
 
2. เคาะโลงรับศีล
ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีลแต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า
อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน
เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
 
3. สวดอภิธรรม
มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่องจึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ
แล้วเป็นการสวดเพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรม
ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อ
ให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผลควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด
ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้
 
4. บวชหน้าไฟ
มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ความจริงนั้น ไม่ใช่
เพราะการบวชหน้าไฟเป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด
มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส
แล้วพอใจในสมณะเพศมุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน
 
5. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ
เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่า
ให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า
 
6. การเวียนซ้าย 3 รอบ
หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ
ด้วยอำนาจกิเลสตัณหาอุปทานก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส
เป็นการสอนธรรมชั้นสูงจึงได้พาศพเวียนซ้าย
 
7. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ
เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิต
ให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม

ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com/
 

การ เตรียมสภาพแวดล้อม เพื่อ "นำทาง" ให้กับผู้ป่วยก่อนจะทิ้งร่างไป

สภาพกราฟสมองของคนหลังความตาย
"การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมอง
ยังคงอยู่ในภาวะ "ตื่นตัวขั้นสูง" บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น"
ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า "ตาย" แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น "การสร้างภาพจากสังขารจิต
20 นาที" ว่าจะไปภพภูมิใด ดังนั้น จึงควร "เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที
หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต) บังสุกุล
คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง" แปลว่า ต่อให้ก่อนตาย
ญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)
สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนต์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและ
สมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนตร์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี
แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว ญาติๆ ร้องไหร้ระงึมเสียงดังลั่น
หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงเซ็งแซ่ บรรยากาศเหล่านนั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมอง
ครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง
สภาพจิตของคนหลังความตาย 
จิตหลังความตาย 20 นาทีแรกจึงมีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลัง
ความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนต์ และอีกสิ่งที่อาจารย์อาภรณ์ทำประจำคือ เมื่อรู้ว่ามีคนไข้ตาย
ก็จะหยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผาก
หว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่ได้
ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้
เพื่อว่านำ้เย็นจะช่วยดึงให้จิตของคนตายอยู่กับเสียงสวดมนต์ตลอดเวลาจนกว่าจะดับจิตไปและ
ไม่ให้จิตไปสดุดเอากับอกุศลกรรม หรือ อบายภูมิ ที่ไม่ดี ที่อาจทำให้เขาตกไปในภพภูมิที่ไม่ดี 
การช่วยทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี
ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลา

ที่มา : VDO อ.อาภรณ์   เชื้อประไพศิลป์
credit : http://health4friends.lnwshop.com/