เป็น โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อย บางคนอาจเรียก โรคสะเก็ดเงิน ว่า เรื้อนกวาง เหตุที่เรียกว่า โรคสะเก็ดเงิน เพราะผื่นที่เกิดขึ้นจะเป็นตุ่มสีแดงมีขอบชัด และบนผื่นจะมีขุยสีขาว ดูเหมือนมีสะเก็ดสีขาวคล้ายเงินปกคลุมอยู่ ทำให้มีการเรียกชื่อโรคนี้ว่า โรคสะเก็ดเงิน ตามลักษณะของผื่นนั่นเอง
สาเหตุที่ทำให้เกิด โรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นพื้นฐาน และมีปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ โดยปัจจัยภายใน เช่น การเกิดโรคต่าง ๆ ภาวะทางจิตใจ ความเครียด ส่วนปัจจัยภายนอก เช่น การรับประทานอาหาร หรือยาบางชนิด การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน การติดเชื้อโรคต่าง ๆ การเกา แกะผิวหนัง ฯลฯ
ชนิดของ โรคสะเก็ดเงิน
ประเภทของ โรคสะเก็ดเงิน แบ่งได้ตามลักษณะของผื่น คือ
-Plaque
เป็น โรคสะเก็ดเงิน ที่พบได้บ่อยที่สุด ลักษณะเป็นผื่นแดงนูนหนา มีขอบชัดเจน บนผื่นจะมีขุยสีขาวเงิน ซึ่งสะเก็ดนี้เป็นเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ผิวหนังบริเวณผื่นมักจะแห้ง คัน และเกิดเป็นแผลได้ง่าย แพทย์เรียกชนิดนี้ว่า psoriasis vulgaris
-Guttate
เป็น โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นเหมือนรูปหยดน้ำสีแดง ๆ เล็ก ๆ พบมากที่ลำตัว แขน ขา โดยผื่นนี้จะไม่หนาเท่าชนิด Plaque ผื่นสามารถเกิดขึ้นได้หากผิวหนังติดเชื้อ มักพบในเด็กและวัยรุ่น
-Inverse
เป็น สะเก็ดเงิน ที่มักพบในคนอ้วนที่มีเหงื่อออกมาก และระคายเคือง ลักษณะผื่นจะราบเรียบ ผิวแห้ง อักเสบแดง ไม่มีขุย และไม่หนา มักพบตามข้อพับ รักแร้ เต้านม ก้น
-Erythrodermic
เป็น โรคสะเก็ดเงิน ชนิดที่พบได้น้อยที่สุด มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคสะเก็ดเงินที่ผื่นสะเก็ดเงินหลุดง่าย โดยผื่นชนิดนี้จะแดง กระจายไปทั่ว และมักจะมีอาการบวม ปวด และคันร่วมด้วย
-Generalized Pustular
เป็นผื่นสะเก็ดเงินแดง บวมปวด และมีตุ่มหนองเกิดขึ้น หากแผลแห้งแล้วก็สามารถกลับมาเป็นหนองได้อีก
-Localized Pustular
เป็น โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นตุ่มหนองเกิดขึ้นที่บริเวณมือและเท้า ขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตร
อาการของ โรคสะเก็ดเงิน
อาการ สะเก็ดเงิน มักจะเกิดเป็นผื่นแบบเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งโรคสะเก็ดเงิน จะกำเริบได้ เมื่อผิวหนังบาดเจ็บ เช่นจากการเกา ผิวไหม้จากแดด ติดเชื้อไวรัส หรือแพ้ยา โดยจะมีอาการดังนี้
-ผิวหนัง
จะเริ่มเป็นผื่นเล็ก ๆ สีแดง มีขอบชัดเจน รูปทรงกลมหรือรูปไข่ และมีขุย หรือสะเก็ดสีขาวเงินติดอยู่ หากแกะขุยจะมีเลือดออก ก่อนที่ผื่นจะขยายวงกว้างออกไป ทั้งในรูปก้นหอย หรือหยดน้ำ มักเกิดที่ศอก เข่า ขา แขน คอ ศีรษะ
-เล็บ
เล็บของผู้ที่เป็น สะเก็ดเงิน จะเป็นหลุมเล็ก ๆ ขรุขระ หรือมีการหนาตัวอยู่ในเล็บ หากเป็นมาก เล็บจะผุ ร่อนออกมาจากพื้นเล็บได้
-ข้อ
ผู้ที่เป็น สะเก็ดเงิน หลังจากมีผื่นขึ้นตามลำตัวแล้ว จะเริ่มปวดข้อเล็ก ๆ ตั้งแต่ปลายนิ้วมือ เท้า มักเป็นสองข้าง บางครั้งอาจปวดตามข้อใหญ่ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อหลัง โดยอาการที่มักพบคือ ปวดข้อ บริเวณรอบข้อ ข้อติดในตอนเช้า หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้ข้อพิการได้
ความรุนแรงของ โรคสะเก็ดเงิน
เราสามารถแบ่งความรุนแรงของ โรคสะเก็ดเงิน ได้ 3 ระดับ คือ
Mild Psoriasis คือ โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นขึ้นน้อยกว่า 2% มักพบเป็นแห่ง ๆ เช่น เข่า ข้อศอก หนังศีรษะ รักษาได้โดยการทายา
Moderate Psoriasis คือ โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นขึ้นอยู่ระหว่าง 2-10% โดยมากมักขึ้นที่แขน ขา ลำตัว หนังศีรษะ รักษาได้โดยการทายาและรับประทานยา
Severe Psoriasis คือ โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นขึ้นมากกว่า 10% ทำให้ผิวหนังแดง เป็นตุ่มหนอง ผิวหนังหลุดลอก และผู้ป่วยมักจะมีอาการข้ออักเสบด้วย
การรักษาโรค “สะเก็ดเงิน” ด้วยวิถีทางโภชนาการ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารรสหวาน,ผลไม้รสหวานมาก,เลี่ยงน้ำตาลฟอกขาว
- แป้งขาว เช่น ขนมปัง,เส้นก๋วยเตี๋ยว,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป,ซาลาเปา,ปาท่องโก๋
- อาหารรสจัด,เค็มจัด,เผ็ดจัด,เปรี้ยวจัดและมีรสมันจัด
- อาหารที่มีกลูเตนสูง,ข้าวสาลี,ข้าวโอ๊ด,ข้าวบาร์เลย์,ข้าวไรน์
- แอลกอฮอล์,คาเฟอีน (ชา,กาแฟ) ของหมักดอง
- อาหารทะเล กุ้ง ปู และหอย (ควรงดเด็ดขาด)
- เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว ให้เน้นทานเนื้อปลา
- ลดในสิ่งที่ตัวเองแพ้ เช่น น้ำผึ้ง,ข้าวโพด
- อาหารที่ใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี น้ำมันถั่วเหลือง ทานตะวัน ข้าวโพด ดอกคำฝอย รำข้าว (น้ำมันพวกนี้มี OMEGA 6 สูงทำให้เกิดการอักเสบ) และไขมันทรานส์ (ตัวร้ายที่สุด)
- ผู้ป่วยราว 20 % จะแพ้อาหาร (NIGHT SHADE) เช่น มะเขือเทศ,มะเขือ,มันฝรั่ง,พริกไทย,พริกใบยาสูบ(บุหรี่),ถั่ว,ข้าวโพด,งา
- อาหารที่มีนมวัวผสม นมวัวมีโปรตีนเคซีน ร่างกายย่อยยาก
- หลีกเลี่ยงสารเคมีโดยการสัมผัส,สูดดม และงดทานอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรส,วัตถุกันเสีย
อาหารที่ควรรับประทาน
- น้ำมันมะพร้าว+กระเทียมเป็น SUPER ANTIOXIDANT ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานอย่างสูงเรียกว่ากรดอัลฟ่าไลไปอิด
- การดื่มน้ำให้ถูกต้องและพอสำหรับร่างกาย
- น้ำ เอนไซม์มี 2 ชนิด 1.ได้จากผักสด+ผลไม้ 2.น้ำหมักชีวภาพ ช่วยกำจัดสารพิษ และช่วยย่อยอาหาร (ผู้ป่วยภูมิแพ้หรือสะเก็ดเงินจะมีอาการกรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอ)
- ข้าวกล้อง มีอิโนซิตอส ลดการอักเสบ (เลี่ยงข้าวขาว)
- ผักตำลึง,ใบบัวบก,ย่านาง คั้นเป็นเครื่องดี่มมีฤทธิ์เย็นและมีเอนไซม์ย่อยแป้ง
- มะละกอดิบ มีเอนไซม์ย่อยโปรตีน
- ผักสด+ผลไม้ ทานสดมีเอนไซม์เพิ่มพลังชีวิต
- เน้นอาหารจากธรรมชาติ RAW FOOD ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด
- วิตามินและเกลือแร่ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- อาหารที่ย่อยง่ายและเคี้ยวอาหารให้นานขึ้น
- สาหร่ายทะเลช่วยส่งเสริมการทำงานไทรอยด์ (เพิ่มภูมิต้านทาน)
วิธีการดูแลรักษา
วิธี
การรักษาที่เขียนในบทความนี้เป็นวิธีที่ได้จากการรักษาจริง
แล้วได้บอกต่อกับผู้ป่วยสะเก็ดเงินด้วยกัน ผลที่รักษาเป็นที่น่าพอใจ
อาจเป็นช่องทางหนึ่งในหลายๆวิธีที่ผ่านการรักษาแผนปัจจุบันมาแล้ว
การรักษาแผลสะเก็ดเงินภายนอก(ผิว)ใช้อยู่ 2 วิธี
1) ใช้ยาทาผิวที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ 0.1% ใช้ไม่เกิน 10 วัน (ถ้ามากกว่านี้จะมีผลข้างเคียง ผิวหนังบาง ติดเชื้อง่าย ไหม้ มีสิว ระคายเคือง ผิวหนังแห้งแตก ต่อมใต้ผิวหนังอักเสบ สีดล้ำ และร่างกายจะขาดโปแตสเซียม) ทางเฉพาะบริเวณที่เป็นสะเก็ดเงินเท่านั้น ทาวันละ 2-3 ครั้ง หลังจากสะเก็ดเงินบางลงหยุดใช้
ถ้า
ไม่ใช้สเตียรอยด์ทา ยังมียากลุ่มอื่นที่ไม่ใช้สเตียรอยด์ แต่มีราคาแพง เช่น
โปรโทปิค (PROTOPIC) ยาอิริเดล (ELIDEL)
แทนได้ประสิทธิภาพเทียบเท่าสเตียรอยด์ ชนิดอ่อนและปานกลางเท่านั้น
นับว่าเป็นทางเลือกได้อีกทางที่ช่วยระงับอาการคันได้
2) ใช้น้ำมันมะพร้าวทาผิวต่อเนื่อง ทาได้บ่อยๆ ผิวหนังจะชุ่มชื้นเข้าอาการสะเก็ดเงินจะควบคุมได้ดี และใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทาได้ตลอด
การรักษาแผลสะเก็ดเงินด้วยโภชนาการและการปฏิบัติตอนเช้าและก่อนนอน
1) ตื่นเช้าทำ OIL PULLING 15-20 นาที
2) ตามด้วยการดื่มน้ำ 1-2 แก้ว
3) รับประทานสิ่งต่างๆเหล่านี้วันละ 2-3 เวลาก่อนอาหาร
- น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (ไม่แต่งกลิ่นสังเคราะห์ เพราะมีสารเคมี)
- กระเทียมสด หรือกระเทียมอัดเม็ด (อิมมิวนีท็อป 2000)
- เลซิติน (ไวทัล-เอ็ม)
- น้ำมันตับปลา
- บริวเวอร์ยีสต์
- ขมิ้นชัน
- N-ACETYLCYSTEIN (NAC LONG),(MUCIL)
- เลซิติน (ไวทัล-เอ็ม)
- น้ำมันตับปลา
- บริวเวอร์ยีสต์
- ขมิ้นชัน
- N-ACETYLCYSTEIN (NAC LONG),(MUCIL)
- Evening Primrose Oil (EPO)
4) อาหารแต่ละมื้อให้ดูอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง และทานอาหารที่ควรรับประทาน อย่าลืมการดื่มน้ำที่ถูกต้อง
5) ออกกำลังกายอย่างน้อย 15 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง
6) พักผ่อนให้สบาย ฝึกมองโลกในแง่บวก จิตแจ่มใส ผ่อนคลาย
7)
เพิ่มอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เช่น ผักผลไม้, แตงกวา, ฟัก,
ถั่วต้ม+เห็ดหูหนูขาว หรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เย็น เช่น น้ำใบบัวบก,
ย่านาง, เก็กฮวย, จับเลี้ยง, น้ำถั่วเขียว เพื่อดับร้อนในร่างกาย
ดื่มแทนน้ำทุกวันจะดีมาก ไม่ใส่น้ำตาล หรือน้ำตาลน้อย
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ท
จาก www.health4friends.lnwshop.com