วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ถั่งเช่า (ถั่งเฉ้า) "ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย"

ถั่งเช่า-ถั่งเฉ้า หรือ  (ตั่งถั่งแห่เช่า/ตั่งถั่งเช่า) 
 
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cordyceps sinessis  ถั่งเช่าเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณเป็นยาช่วยบำรุงร่างกาย สมุนไพรถั่งเช่า เป็นสมุนไพรจีนธาตุอุ่น ให้กลิ่นหอม ไร้พิษ มีรสขมอมหวาน บำรุงปอดและบำรุงไต บำรุงกำลัง แก้อาการอ่อนเพลียบำรุงได้ทั้งธาติหยิน-หยาง และเสริมสมรรถภาพเพสสำหรับเพศชาย ถั่งเช่า จึงได้ฉายาอีกอย่างว่า “สมุนไพรบำบัดอาการอ่อนเพลียได้ร้อยชนิด”  เป็นยาบำรุงร่างกายชั้นยอด ที่ได้จากการผสมผสานกันระหว่างตัวหนอนและเห็ดตังถั่งเช่า หรือ ตังถั่งแห่เช่า แปลว่า "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" 
ถั่งเช่า มีรสหวาน ฤทธิ์ไม่ร้อน เข้าเส้นลมปราณไต บำรุงไต เสริมภูมิคุ้มกัน และพลังชีวิต แก้อาการอ่อนเพลีย ภูมิแพ้ แก้ไอ ละลายเสมหะ หอบหืด ไอเรื้อรัง อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เข่าอ่อน เอวอ่อน ทำให้แก่ช้า และเป็นยาบำรุงสำหรับผู้ป่วยฟื้นไข้
การทดลองทางการแพทย์ยังพบว่า สารสกัดจากตังถั่งเช่า มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด กระตุ้นสมรรถภาพการทำงานของต่อมหมวกไต เพิ่มภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยโรคไต ช่วยลดจำนวนครั้งของการฟอกไต สมานแผลจากเบาหวาน ช่วยลดการโตของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง
 

ลักษณะพิเศษของ ถั่งเช่า-ถั่งเฉ้า
 
    ถั่งเช่ามีลักษณะพิเศษ ทั้งนี้เพราะเป็นการรวมตัวของหนอนกับเห็ดชนิดหนึ่ง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหญ้าหนอน
 
    ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แผนจีน จากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแห่งนครเซี่ยงไฮ้ บอกอีกว่ามียาตำราจีน ไม่น้อยกล่าวถึงประโยชน์ของถั่งเช่า เช่นในตำราเมื่อ 1000 ปีก่อน บอกว่ามีสรรพคุณรักษาปอด เสริมหยางไต หยุดการเลือดออกทางเสมหะ รักษาการไอเรื้อรัง ช่วยให้น้ำอสุจิแข็งแรง บำรุงสตรีให้มีบุตรง่าย ปรับประจำเดือน ให้เลือดลมดีขึ้น
 
    ถั่งเช่านี้สามารถกินแบบสดหรือจะนำมาต้มหรือทำเป็นผง ผสมกับโสมคน สูตรนี้ช่วยบำรุงโดยเฉพาะกับผู้ที่อวัยวะเพศไม่แข็งแรง

หมอเคยนำมารักษาคนไข้ที่ธาตุหยางพร่องในไต (อาการหยางพร่อง คือ ทำให้ปวดหลัง หัวเข่าเย็น กลัวหนาว ปัสสาวะบ่อย) รวมถึงอาการของผู้ป่วยที่ตับไม่แข็งแรง ส่งผลให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง โดยจากผู้เข้ารับการรักษา 20 คน ผลปรากฏว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น 90 % และฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศได้ถึง 64%
 
    ปัจจุบันถั่งเช่าอย่างดีราคาสูงถึงกิโลกัรมละ 120,000 บาท จึงมีการนำเชื้อราไปเพาะเพื่อผลิตเป็นแคปซูลขาย
 
    ข้อมูลอ้างอิงจากการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการถั่งเช่ามีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะสารคอร์ไดเซหิน (Cordycepin) มีฤทธิ์ บำรุงไต กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาสมดุลย์ของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด รวมถึงฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ
 
    งานวิจัยพบว่าหากกินถั่งเช่าวันละ 1 กรัมเป็นเวลา 46 วัน จะช่วยให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้น 644%

คุณสมบัติของถั่งเช่า

 

















  • ฟื้นฟูสมรรถนะของไต ช่วยบรรเทาอาการและรักษา ไตอักเสบ นิ่วในไต เสริมภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยโรคไต
  • ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ ให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
  • ช่วยชะลอความแก่ บำรุงร่างกาย ลดความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
  • ช่วยบรรเทาอาการ และรักษาโรคภูมิแพ้ ให้ร่างกายมีความสมดุล
  • สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก ตังถั่งเช่า จะเติมเต็มน้ำอสุจิและไขกระดูก
  • เพิ่มประสิทธิภาพของปอด และหลอดลม
  • ช่วยบรรเทาอาการ และรักษาโรคต่อมลูกหมาก
  • ช่วยบรรเทาอาการ และรักษาอาการอ่อนเพลีย ปวดเอว
  • ปรับสมดุลของความดันโลหิตในร่างกาย
  • กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนต่อมหมวกไต ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญกับร่างกายอย่างมาก


  • การทดลองทางการแพทย์ยังพบว่า สารสกัดจากตังถั่งเช่า มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด กระตุ้นสมรรถภาพการทำงานของต่อมหมวกไต เพิ่มภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยโรคไต ช่วยลดจำนวนครั้งของการฟอกไต สมานแผลจากเบาหวาน ช่วยลดการโตของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง
 
ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com
รูปประกอบจากอินเตอร์เนท  
 
 
 

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

ชาเขียว ช่วยลดความอ้วนได้

 ชาเขียวช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือ?

มีหลักฐานที่แสดงว่าชาเขียวสามารถลดนํ้าหนักได้ โดยในเดือนพฤศจิกายน 1999 วารสาร The American Journal of Clinical Nutrition ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเจนีวาใน สวิสเซอร์แลนด์ นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มทั้งสารสกัดคาเฟอีนและชาเขียว มีการเผาไหม้แคลลอรี่มากกว่า คนที่ได้คาเฟอีนอย่างเดียว เรามารู้จักชาเขียวกัน

ชาเขียว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า  Camellia  Sinensis มีสายพันธุ์มากกว่า 1200 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันมากมาย ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ปลูก เป็นทั้งไม่พุ่มและไม้ยืนต้น ที่มีอายุตั้งแต่ 60-300 ปี ไม้พุ่มทั่วไป จะมีการตัดแต่งให้เก็บยอดได้ง่าย มักจะสูงไม่เกิน 1.50 เมตร ที่เป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุมากที่สุด พบที่ยูนนานของจีน มีอายุ มากกว่า 300 ปี มีความสูง 15-20 เมตร
ชาเขียวเป็นที่ยอมรับแล้วว่ามีกำเนิดจากประเทศ จีน ในอดีตมีการค้าขายเดินเรือไปทั่วโลกทำให้ชาเขียวแพร่ไป    ยุโรป อินเดีย บราซิล และที่อื่นๆ ชาเขียว ต้นเดียวกัน สามารถทำเป็นชาที่นิยมกันได้ ถึงสามชนิดคือ

- ชาเขียว (  Green tea )
- ชาอูหลง ( Oolong Tea )
- ชาดำ ( Black Tea )

ชา ทั้งสามชนิดมาจากชาเขียวต้นเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธีที่ต่างกัน เมื่อเก็บเกี่ยวใบชาออกมาจากต้นแล้ว คือ ชาเขียว เป็นชาที่ไม่ผ่านการหมัก เมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว มีการอบความร้อน เพื่อไล่ความชื้น หรืออบไอน้ำ การอบความร้อนหรือไอน้ำจะยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้ชาถูกหมัก เมื่ออบแล้วจะนำมาคั่วแห้งและเก็บไว้ชงชา ชาอูหลงเป็นชา กึ่งหมัก (Semi fermented) คือเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ผึ่งความร้อนเพียงเล็กน้อย จะมีการนวดชาด้วยมือให้ช้ำ และเกิดเอนไซม์ เป็นการหมักเล็กน้อย ระยะหนึ่งจึงนำไปคั่ว ชาดำ จะถูกทิ้งให้ผ่านการหมักเต็มที่จนใบชากลายเป็นสีเข้ม  ชาทั้งสามชนิด จะมีรสชาติที่ต่างกันออกไป แต่ชาเขียวจะมีคุณค่ามากที่สุดเพราะสารต้านอนุมูลอิสระไม่ถูกทำลายจากาการ หมัก
ยัง มีชาอื่น ๆ อีก เช่น ชาขาว ซึ่งก็เป็นชาเขียว แต่เด็ดแต่ยอดชาในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ใบชาจะมีขนอ่อนและเป็นสีขาว จะมีคาเฟอีนน้อยที่สุด


ชาเขียว ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายหลายประการ  โดยมี สารสำคัญที่ทำให้เกิดประโยชน์ ( Active health component ) เรียกว่า โพลีฟีนอล ( Polyphenols ) หรือเรียกกันทั่วไปว่า คาเทชิน ( Catechins )  ซึ่ง Catechins นี้จะมีปริมาณ 30-40 % ของส่วนที่เป็นของแข็งที่สามารถสกัดได้จากใบชาเขียวแห้ง  คาเทชินที่อยู่ในชาเขียว ประกอบไปด้วย Epigallocatechin-3-gallate (EGCG), Epicatechin-3-gallate, Epicatechin, Epigallocatechin, Gallocatechin gallate and Catechin   ในทั้งหมดนี้ สารที่มีมากที่สุดก็คือ Epigallocatechin-3-gallate หรือ  อี จี ซี จี ( EGCG )     ขนาดใบชาเขียวแห้ง 1 ซอง ( 1.5 กรัม ต่อซอง ) จะให้ EGCG ประมาณ 35 - 110 mg   EGCG นับได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ  ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในชาเขียวและมีปริมาณมากที่สุด มีความแรงของการต้านอนุมูลอิสระ มากกว่า วิตามิน C  และวิตามิน E  25-100 เท่า  การรับประทานชา ประมาณ 1 แก้วต่อวัน จะให้สารต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าการรับประทาน แครอท บรอคเคอรี่ ผักโขม และสตรอเบอรี่ ในขนาดที่รับประทานในแต่ละมื้อ   และมีหลายงานวิจัยระบุว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

1. ช่วยลดความอ้วน
ด้วย กลไกของการกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน ( Stimulates fat oxidation ) มีรายงานวิจัยที่มีข้อมูลสนับสนุนว่า EGCG ช่วยเพิ่มกระบวนการ การเผาผลาญพลังงานของเนื้อเยื่อไขมัน และมีรายงานการทดลองในคนแล้วว่า ช่วยลดความอ้วนได้ 

2. ช่วยลดไขมันในเลือด
แม้ จะลดไขมันในเลือดได้ไม่มากนัก แต่ก็มีงานวิจัยที่ดีรองรับสองงานวิจัย ในงานวิจัยแรก พบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงการดื่มชาในปริมาณปานกลางหรือปริมาณมาก ร่วมด้วยจะลดปริมาณ ไขมันในเลือดชนิด ไตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญใน ช่วง 6 ชั่วโมงหลังทานอาหารและดื่มชา โดยลดการเพิ่มระดับของไขมันชนิด ไตรกลีเซอรไรด์ในเลือดได้ถึง 15.1-28.7%  อีกงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มชาประมาณ สองถ้วยต่อวัน สามารถลดไขมันในเลือดชนิดโคเลสเตอรอลลงได้เล็กน้อย (119 เป็น 106 มก/ดล.) แต่ก็มีนัยสำคัญทางคลินิก 

3. ช่วยโรคเส้นเลือดอุดตัน
มี รายงานวิจัยว่า  สารสำคัญในชาเขียว สามารถลดการหดเกร็งของเลือดฝอย ลดการเกิดตะกอน ( Plaque ) ในเส้นเลือดฝอย ทำให้ลดอุบัติการ ของโรค กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด ( Myocardial infarction )  และอัมพฤกษ์ อัมพาตจากเส้นเลือดตีบตัน  ( Storke )  นอกจากนี้ EGCG ยังเป็นตัวยับยั้งการเกิด การสันดาปOxidation ของโคเลสเตอรอล  ทำให้ลดการเกิด การสะสมสร้าง ตะกอน ( Plaque ) ในเส้นเลือด จาก โคเลสเตอรอล ทำให้ลดการเกิด เส้นเลือดแข็งตัวตีบตัน ( atherosclerosis )  และลดอุบัติการณ์ของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (Cronary atherosclerosis )  ในงานวิจัยในสัตว์ทดลองยังลดการเกิดเส้นเลือดในปอดตีบตัน (Pulmoary Thrombosis) อีกด้วย  ส่งให้เป็นผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดหัวใจ 

4. ต่อต้านอนุมูลอิสระ และ ต่อต้านมะเร็ง ( Antioxidant and Anticancer ) ชาเขียวมีผลต่อการยับยั้งการเกิดมะเร็งได้หลายชนิดทั้งในคนและสัตว์ เพราะมีฤทธิ์ทางด้านการต้านอนุมูลอิสสระอย่างมาก  การวิจัยทางระบาดวิทยาพบว่า ในกลุ่มผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมลูกหมาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งผิวหนังลดลง ทั้งนี้เพราะสารสกัด ประเภทโพลีฟีนอลในชาเขียวมีผลยับยั้งมะเร็งจำนวนมากด้วยกลไกที่หลากหลาย โดยเฉพาะสารสำคัญตัวหนึ่งในชาเขียวคือ epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูงในชาเขียว ยังมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของคนอย่างชัดเจน ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าการรับประทานชาเขียว มีผลยับยั้งการก่อมะเร็งได้หลายชนิด ที่มีงานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสามารถยับยั้งมะเร็งของ ผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก  สำหรับมะเร็งในคนที่มีงานวิจัยดีที่สุดคือ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งผิวหนัง ตามมาด้วยมะเร็งเต้านม โดยพบว่า สาร EGCG สามารถลด การเติบโต เซลล์มะเร็งเต้านมในคนได้ และยับยั้งมะเร็งเต้านมของหนูได้ การวิจัยนี้ บอกถึงศักยภาพในอนาคตที่จะนำมารักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และงานวิจัยล่าสุด ได้มีงานวิจัยโดยใช้สารสกัดชาเขียวในผู้ป่วยมะเร็งปอดเป็นครั้งแรก ซึ่งยังเป็นการทดลองเบื้องต้น พบว่าได้ผลเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่ดื้อต่อยาต้านมะเร็งมากที่สุดชนิดหนึ่ง อยู่แล้ว แต่ก็บอกศักยภาพในการต้านมะเร็งของสารสกัดชาเขียวได้เป็นอย่างดี

5. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้หลายสายพันธ์ที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ ทำให้ช่วยปกป้องโรคฟันผุได้

 เมื่อ บริโภคชาเขียวทั่วไป จะพบว่าในชาเขียว ยังมีสาร คาเฟอีน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน   จึงเป็นที่แนะนำว่า ไม่ควรรับประทาน ชา/กาแฟ ก่อนนอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ และ ไม่ควรบริโภคในเด็ก แต่ในสารสกัดจากชาเขียว อีจีซีจี  จะมีคุณประโยชน์เท่ากับชาเขียวคุณภาพดี 1 แก้ว แต่ จะมีสารคาเฟอีนในปริมาณที่น้อยมากๆ  คือในปริมาณ เพียง 0.05 ม.ก. ซึ่งน้อยกว่าชาเขียวที่ชงดื่มทั่วไป ถึงประมาณ 900 เท่า ทำให้ไม่มีผลต่อการกระตุ้นประสาท หรือนอนไม่หลับ แต่อย่างใด

ที่มา  health4friends.lnwshop.com
ขอบคุณ รูปจากอินเตอร์เน็ท

 

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อาการคัน บ่งบอกโรค

อาการคันเป็นความรู้สึกไม่สบายผิวหนังที่ทำให้อยากเกา ประมาณว่าผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการคันเรื้อรังร้อยละ 10-50 จะตรวจพบว่ามีโรคทางกายที่เป็นสาเหตุของอาการคันร่วมด้วย คือ

อาการคันในผู้ป่วยโรคไต
มักคันเป็นครั้งคราว หรืออาจคันต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน  อาการคันมักกำเริบเวลากลางคืน หรือระหว่างทำการฟอกไตหรือเพิ่งทำเสร็จ และมักมีผิวแห้งทั่วไป

อาการคันในผู้ป่วยโรคตับ
มักคันเป็นช่วงๆ  คันไม่มากนัก อาจเป็นเฉพาะที่ หรือกระจายทั่วตัว มักคันมากที่มือและเท้า และตำแหน่งที่สวมเสื้อผ้ารัดรูป อาจพบผิวสีเหลืองที่เรียกดีซ่าน ไฝแดงลักษณะเหมือนแมงมุม เต้านมโตในผู้ชาย ก้อนไขมันสีเหลืองมักเป็นที่หนังตาบน ม้ามโต ผิวมีสีโคลน

อาการคันจากโรคเลือด
 มักคันเฉพาะที่ ซึ่งมักเป็นที่บริเวณรอบทวารหนัก และที่อวัยวะเพศหญิง ในโรคเลือดบางอย่างอาจคันหลังสัมผัสน้ำ มักเป็นหลังอาบน้ำร้อน หรืออาบฝักบัว ผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจางจากการขาดเหล็กจะมีผิวซีด อาจมีลิ้นและมุมปากอักเสบ

อาการคันจากโรคต่อมไร้ท่อ

มักเป็นทั่วร่างกาย และสัมพันธ์กับอาการของโรคที่เป็น  ผู้ป่วยเบาหวานบางรายอาจคันเฉพาะที่ พบบ่อยที่อวัยวะเพศหญิงหรือทวารหนัก พบบ่อยว่ามีการติดเชื้อยีสต์และเชื้อราร่วมด้วย ในผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยจะมีเล็บเปราะ ผิวและผมหยาบแห้ง ส่วนผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากจะมีผิวอุ่น เรียบ และละเอียด อาจมีโรคลมพิษเรื้อรัง อาการแสดงอื่นคือ มีไข้ หัวใจเต้นเร็ว ตาโปน

อาการคันในมะเร็ง
มักคันรุนแรงปานกลางถึงคันมาก ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ แขนด้านนอกและหน้าแข้ง พบว่าอาการคันในรูจมูกอาจสัมพันธ์กับเนื้องอกในสมอง ส่วนอาการคันในมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาจนำมาก่อนการวินิจฉัยโรคนานถึง 5 ปี อาการคันในกลุ่มนี้จะคันจนทนไม่ได้ คันแบบต่อเนื่อง และคันรุนแรงมาก

อาการคันจากโรคเอดส์
อาจพบผื่นลอกเป็นขุยที่ใบหน้า (seborrheic dermatitis) ผิวแห้ง มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง เช่น ติดเชื้อรา เชื้อไวรัส

การ ตรวจร่างกายช่วยแยกระหว่างอาการคันจากโรคผิวหนังโดยตรง และอาการคันที่เนื่องมาจากโรคภายในอื่นๆ โดยในกรณีที่คันจากโรคภายในผู้ป่วยจะมีผิวปกติ หรือมีรอยโรคที่เกิดจากอาการคัน เช่น รอยแกะเกาตุ่มนูนจากการเกา ผิวหนาเหมือนเปลือกไม้ หรือมีลักษณะการติดเชื้อที่ผิวหนัง ผู้ป่วยอาจมีลักษณะที่เรียกว่าอาการแสดงลักษณะผีเสื้อ (butterfly sign) คือ มีบริเวณผิวหนังสีจาง หรือสีผิวปกติที่กลางหลัง และมีผิวสีเข้ม หรือรอยเกาอยู่รอบนอกตามบริเวณที่เอื้อมมือเกาได้ถึง แสดงว่าอาการคันน่ามีสาเหตุจากโรคภายในอื่นๆ ร่วมด้วย




 
ภาพแสดง อาการแสดงลักษณะผีเสื้อ









ที่มา : หมอชาวบ้าน Online , health4friends.lnwshop.com

มะรุม ชะลอความแก่ ต้านมะเร็ง

"มะรุม" เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณ บ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วนทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ

ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก "ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม" ภาคเหนือเรียก "มะค้อม- ก้อน" ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก "กาแน้งเดิง" ส่วนชาวฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก "ผักเนื้อไก่" เป็นต้น
           
มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย
มะรุม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง ๓-๔ เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนกคล้ายกับใบมะขามออกเรียงแบบสลับ ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็น ช่อสีขาว ดอกมี ๕ กลีบ
ฝักมีความยาว ๒๐-๕๐ เซนติเมตรลักษณะเหมือน ไม้ตีกลอง  เป็นที่มาของชื่อต้นไม้ตีกลองในภาษาอังกฤษ (Drumstick Tree) เปลือกฝักอ่อนสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก เปลือกฝักแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มลักษณะกลมมีสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เซนติเมตร เมล็ดแก่สามารถบีบน้ำมันออกมากินได้
           
มะรุม เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน ๑-๕ ต้น เพื่อให้เป็น   ผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา
          
คน ไทยทุกภาคนิยมนำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม ด้วยการปอกเปลือกหั่นฝักมะรุมเป็นชิ้นยาวพอคำ ถือว่าเป็น ผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด จะต่างกันก็ในรายละเอียดของแกงตามแบบอย่างของแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น แม้แต่ทางใต้ก็นิยมนำมะรุมมาทำแกงส้มปลา-ช่อน โดยจะใส่ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวปลาและเพิ่มสีสันของน้ำแกง ปรุงรสเปรี้ยวด้วยการใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขาม และหั่นปลาช่อนเป็นแว่นใหญ่ไม่โขลกเนื้อปลากับเครื่องแกง
          
ผู้ เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุม ไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบ    อ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กิน     กับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำ  มาลวกหรือต้มให้สุก จิ้มกินกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
          
ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสาน จังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งป่นเข้าเครื่อง "ผงนัว" กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

คุณค่าทางอาหารของมะรุม

มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบ มะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด ๒ เท่า  การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ ๓ เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
  •  วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต ๓ เท่า
  • วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด ๗ เท่าของส้ม
  • แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน ๓ เท่าของนมสด
  • โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท ๓ เท่าของกล้วย 
  • ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
             
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
             
ปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่าย  ผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศีรษะ  ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
              
ประเทศ อินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก  แต่ที่ประเทศฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะกินแกงจืดใบ มะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก "มาลังเก") เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับนมแม่เหมือนกับคนไทย

ชะลอความแก่

กล่าว กันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin  และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และcaffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้

ฆ่าจุลินทรีย์

สาร เบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์และเบนซิล-กลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ.๒๕๐๗ จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู  ปัจจุบันหลังจากการค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษา สารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง

สาร เบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็น อาหารเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมมีเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล

จาก การทดลอง ๑๒๐ วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ ๒๐๐ กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน ๖ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม ๑๐๐ กรัม 
  (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ.๒๕๓๗)
  • พลังงาน ๒๖ แคลอรี
  • โปรตีน ๖.๗ กรัม (๒ เท่าของนม)
  • ไขมัน ๐.๑ กรัม
  • ใยอาหาร ๔.๘ กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต ๓.๗ กรัม
  • วิตามินเอ ๖,๗๘๐ ไมโครกรัม (๓ เท่าของแครอต)
  • วิตามินซี ๒๒๐ มิลลิกรัม (๗ เท่าของส้ม)
  • แคโรทีน ๑๑๐ ไมโครกรัม
  • แคลเซียม ๔๔๐ มิลลิกรัม (เกิน ๓ เท่าของนม)
  • ฟอสฟอรัส ๑๑๐ มิลลิกรัม
  • เหล็ก ๐.๑๘ มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม ๒๘ มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม ๒๕๙ มิลลิกรัม (๓ เท่าของกล้วย)
พบ ว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอล ฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลส-เทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง ๒ กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด 
กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระ เพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคน ที่ มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอร อลใน เลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอก จากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
             
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทาง การแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ

งาน วิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหาย โดยยาไรแฟม-ไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมี   ผลกับระดับเอนไซม์แอสพาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีนอะมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลาย ของตับจากยาเหล่านี้
ผลิตภัณฑ์มะรุมของต่างประเทศจะอ้างฤทธิ์รักษาโรค มากมายทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยา-ศาสตร์ แค่ฤทธิ์ที่พิสูจน์ได้นี้ก็คงเพียงพอแล้วที่คุณ จะเพิ่มใบหรือฝักมะรุมในรายการอาหารของคุณมื้อกลางวันนี้

ที่มา : หมอชาวบ้าน Online , health4friends.lnwshop.com

'ทุเรียนน้ำ' เอาใบมาทำน้ำชา ออกฤทธิ์ดีกว่าคีโม 10,000 เท่า

'ทุเรียนน้ำ' Cancer Killer Fruits

ทุเรียนน้ำ (Guyabano หรือ Sour Sop) เป็นผลไม้พื้นเมืองในประเทศฟิลิปปินส์ (แต่เคยได้ยินว่ามีพบในเมืองไทยด้วย ตามต่างจังหวัด) ซึ่งสามารถพบได้ในบราซิลด้วย ซึ่งเรียกว่า Graviola เป็นผลไม้ขนาดใหญ่กว่าฝรั่งไม่มาก แต่ไม่เท่าส้มโอ มีหนามแต่ไม่แหลม คนฟิลิปปินส์จะรับประทานน้ำจากผลไม้ ซึ่งมีผลการรับรองจากแล็บมากมายว่าผลไม้ชนิดนี้สามารถช่วยในการ...ฆ่าเซลส์ มะเร็งกว่า 12 ชนิดซึ่งรวมถึง มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกมาก มะเร็งปอด และมะเร็งตับอ่อน

ผลจากการรับประทานยาที่สกัดจากทุเรียนน้ำ หรือการนำใบของทุเรียนน้ำมาต้มเป็นชาแล้วรับประทาน จะช่วยในการฆ่าเซลส์มะเร็ง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำคีโมถึง 10,000 เท่า แต่จะไม่ทำร้ายเซลส์ดีในร่างกาย ผลการวิจับแสดงให้เห็นว่าผลไม้มหัศจรรย์นี้จะช่วยสู้เซลส์มะเร็งอย่างมี ประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดการคลื่นเหียนวิงเวียน หรือเกิดอาการผมร่วงเหมือนกับการทำคีโม เพราะส่วนผสมนั้นเป็นธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่มีเคมีใดๆ และช่วยป้องกันระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและไม่ก่อนให้เกิดการติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยที่รับประทานยาสกัดจากทุเรียนน้ำนั้นมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ช่วยให้มีกำลังวังชา

ตอนนี้ที่ Tagaytay (เป็นเมืองเล็กๆ ทางใต้ของมะนิลา) ที่มีศูนย์ช่วยเหลือ-รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยชาวแคทอลิก ที่นี่เองจะให้ผู้ป่วยทานชาที่ได้จากการต้มใบของทุเรียนน้ำ ปรากฎว่าผู้ป่วยมากมายที่ค่าของเซลส์มะเร็งลดลง และบางรายถึงกับหาย...

การรับประทาน

"ใบชาที่ทำให้แห้งโดยการใช้วิธีการ Air Dry จะช่วยทำให้ประโยชน์ในการรักษา นั้นเข้มข้นขึ้น เมื่อใบแห้งแล้ว ฉีกใบเป็นชิ้นเล็กๆ และตวงให้ได้ 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 1 ลิตร นำไปต้ม และลดไฟให้ต่ำ เคี่ยวอีก 20 นาที ใช้ดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร

ดื่มน้ำชาแบบนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อฆ่าเชื้อแบตทีเรียในร่างกาย หากต้องการดื่มติดต่อกันเกิน 30 วัน แต่ร่างกายยังไม่ดีขึ้น ให้พักก่อนซักสัปดาห์จึงค่อยทานชาต่อ

ต้องเลือกใบที่ไม่แก่เกินใบหรือมีสีเขียวเข้มเกินไปในการทำชา ควรจะใช้ใบที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เพื่อประโยชน์สูงสุดดูเพิ่มเติม

รายละเอียดเพิ่มเติม


ทุเรียน เทศ หรือ ทุเรียนน้ำ (ชื่อเรียกอื่น ๆ คือ ทุเรียนแขก (ภาคกลาง) หมากเขียบหลด (ภาคอีสาน) และ มะทุเรียน (ภาคเหนือ) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Annona muricata Linn..(วงศ์ ANNONACEAE) และชื่อในภาษาอังกฤษว่า Soursop และPrickly Custard Apple

ทุเรียนเทศ (Sour Sop) เป็นพืชในวงศ์เดียวกับน้อยหน่า จำปี นมแมว กระดังงา (แม้แต่ดอกมันก็ยังคล้ายๆ กระดังงา หรื...อลำดวนค่ะ ) เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกากลาง เริ่มแพร่กระจายไปสู่พื้นที่เขตร้อนทั่วโลกราวคริสต์ศตวรรษที่16 และแพร่กระจายมายังประเทศฟิลิปปินส์รวมทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนักเดินเรือชาวสเปน

ทุเรียนเทศเป็น ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เป็นใบเดี่ยว ค่อนข้างหนา ผิวใบอ่อนเป็นมันออกดอกเดี่ยวขนาด ใหญ่ กลีบดอกแข็งสี นวล ห้อยลงสวยงามมาก ค่อนข้างกลม ผิวผลมีหนามต่าง ๆ สีเขียว อ่อน ผลสุกผิวผลนิ่ม ภายในมีเนื้อคล้าย น้อยโหน่ง สีขาว มีรสเปรี้ยว รสหวานเล็ก น้อย เมล็ดแก่สีน้ำตาลดำหุ้มด้วยเนื้อสีขาว เนื้อจะไม่แยกแต่ละเมล็ดเป็นหนึ่งตาเหมือน น้อยหน่า ถ้าผลดิบมีสสอมเปรี้ยว และมีรส มันเล็กน้อย น้ำทุเรียน มีสารออกฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ ใบก็เช่นกัน เอาใบมาต้ม ทำน้ำชา ออกฤทธิ์ดีกว่าคีโม 10,000 เท่า แต่ไม่ทำลายเซลส์ดี

ทุเรียนเทศ พบปลูกกันมากในภาคใต้ของประเทศไทยในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์พบว่าทุเรียน เทศได้หายไปจากตลาดท้องถิ่น แต่กลับพบทุเรียนเทศในรูปของผลผลิตเชิงอุตสาหกรรมเกษตรเช่น น้ำทุเรียนเทศเข้มข้น และน้ำทุเรียนเทศบรรจุกล่องพร้อมดื่ม ในร้านขายเครื่องดื่มแถวรัฐปีนังของประเทศมาเลเซียจะมีเครื่องดื่มน้ำ ทุเรียนเทศ ขายปะปนกับน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ และที่สิงคโปร์นั้น น้ำทุเรียนเทศเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมาก ส่วนใหญ่นำเข้าวัตถุดิบจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ลองมาดูกันนะคะ ว่าน้ำทุเรียนเทศที่ชาวสิงคโปร์ประทับใจนั้น มีส่วนผสมอย่างไรค่ะ


ส่วนผสม
ทุเรียนเทศสุก 1 ผล / น้ำต้มสุก 1 ถ้วย / น้ำเชื่อม (1:1) 1/2 ถ้วย / เกลือป่น

วิธีทำ 

เลือกทุเรียนเทศที่สุก ผ่า 2 ซีก ใช้ช้อนตักเนื้อ ใส่ภาชนะเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย ขยำ เติมต้ม สุกส่วนที่เหลือ แล้วคั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง เอาเมล็ดออก ถ้าผลใหญ่มากเติมน้ำต้มสุกลง ไปอีก เติมน้ำเชื่อมเกลือป่น ชิมรสตามใจชอบ ถ้าผลใหญ่และเนื้อมีรสเปรี้ยวมาก ต้องใส่ น้ำเชื่อมและเกลือเพิ่มขึ้น รสจะออกเปรี้ยวนำ หวานตาม และเค็มเล็กน้อย ใส่น้ำแข็งดื่ม แล้วรู้สึกชุ่มคอ และสดชื่น

ขอบคุณที่มา ;http://health4friends.lnwshop.com
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต


วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

วัยทอง (แอนโดรพอส) ในผู้ชาย

แอนโดรพอสคืออะไร

แอนโดรพอส (andropause) คือกลุ่มอาการถดถอยทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นกับผู้ชายวัยเกิน 40 ปีขึ้นไป โดยมีความสัมพันธ์กับการที่ฮอร์โมนเพศชายในร่างกายลดระดับลง

ขณะที่ผู้หญิงมีเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิง ผู้ชายก็มีเทสโทสเตอโรนเป็นฮอร์โมนเพศชาย เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเพศในร่างกายจะถดถอยลงเป็นธรรมดา แต่มันจะค่อยๆลดระดับลงช้าๆใช้เวลาหลายปี ไม่ได้ลดลงฮวบฮาบแบบทันทีเพราะรังไข่หยุดทำงานแบบผู้หญิงตอนหมดประจำเดือน ทำให้อาการเปลี่ยนแปลงในผู้ชายเกิดขึ้นที่ละเล็กทีละน้อย บางคนไม่รู้สึกตัวเลย แต่บางคนก็รู้สึกถึงสมรรถนะทางเพศที่ลดลง พลังงานลดน้อยลง อารมณ์หรือจิตใจที่ “ตก” ลงไปจากระดับเดิม สภาวะนี้ทางการแพทย์เรียกว่าอาการผู้ชายวัยทอง หรือแอนโดรพอส (andropause) เพื่อให้เป็นคนละเรื่องกับผู้หญิงหมดประจำเดือนหรือ menopause แพทย์บางคนไม่ยอมรับคำนี้ และพอใจที่จะเรียกภาวะนี้ว่า “อาการจากอวัยวะผลิตฮอร์โมนลดลงในผู้ใหญ่ (SLOH) บ้างก็เรียกว่า “ภาวะขาดแอนโดรเจนในคนสูงอายุ (ADAM) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นชื่อเรียกเรื่องเดียวกัน.. คือผู้ชายหมดประจำเดือน

เนื่องจากอาการเหล่านี้มักมาเกิดขึ้นในวัยที่ผู้ชายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับ ความหมายในชีวิตของตัวเอง หรือเริ่มมองเหลียวหลังและระทดระท้อกับชีวิตที่ผ่านมาโดยไม่สำเร็จอะไรเป็น ชิ้นเป็นอัน จึงเป็นการยากที่จะบอกให้ได้ว่าอาการเหล่านี้เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายลดลง หรือเกิดจากเหตุภายนอกเช่นความล้มเหลวในหน้าที่การงานหรือการเสียจังหวะใน ชีวิตกันแน่

ผู้ชายพออายุพ้น 40 ปีไปแล้วฮอร์โมนเพศก็เริ่มลดลง ประมาณปีละ 1 % พอช่วงอายุ 45 – 50 ปีจะลงเร็วหน่อย แต่ก็มักจะไม่มีอาการอะไรให้เห็นจนอายุ 60 ปี, เมื่ออายุถึง 80 ปีประมาณครึ่งหนึ่งของคุณผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศต่ำชัดเจน ทั้งนี้มีความแตกต่างระหว่างคนต่อคน บางรายฮอร์โมนก็ยังคงอยู่ในระดับสูงแม้จะชราแล้ว บางรายฮอร์โมนลดต่ำไปแล้วก็จริง แต่กลับไม่มีอาการอะไรให้เห็นก็มี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าใครจะมีระดับฮอร์โมนลดลงแค่ไหน ณ อายุเท่าใด หรือใครจะมีอาการหรือไม่มีอาการแอนโดรพอส ทางเดียวที่จะบอกได้ว่าฮอร์โมนลดต่ำลงจริงหรือไม่ก็คือเจาะเลือดดู

อาการของแอนโดรพอส

ในคนที่มีอาการจากฮอร์โมนลดต่ำ อาการอาจรวมถึงความต้องการทางเพศลดลง เป็นหมัน อวัยวะเพศแข็งตัวเองน้อยลง (เช่นเคยแข็งตัวตอนกลางดึกหรือตอนตื่นนอนเช้าเป็นประจำก็ไม่แข็งตัวอีกเลย) เต้านมตึงคัด ขนในที่ลับร่วง ลูกอัณฑะเล็กและเหี่ยว ความสูงของร่างกายลดลง กระดูกบางยิ่งขึ้น กล้ามเนื้อลีบเล็กลง ร้อนวูบวาบตามตัวและเหงื่อออก พลังงานเสื่อมถอย แรงบันดาลใจและความมั่นใจลดลง รู้สึกเศร้า หรือซึม สมาธิเสื่อม ความจำเสื่อม มีอาการหายใจขัดขณะนอนหลับหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับแบบอื่นๆ มีภาวะโลหิตจาง ร่างกายทำงานได้น้อยลง ในอดีตแพทย์มักมองอาการเหล่านี้ว่าเป็นอาการของภาวะซึมเศร้าหรืออาการชราตาม วัย จึงมักกล่อมให้ผู้ป่วยยอมรับสภาพว่าอายุมากแล้วทำใจเสียเถอะ ทั้งตัวผู้ป่วยเองก็ยากที่จะยอมรับได้ว่าตนเองมีอาการเหล่านี้อยู่ จึงพยายามเพิกเฉยต่ออาการเหล่านี้เสีย แต่ในปัจจุบันนี้มีการเจาะเลือดเพื่อพิสูจน์ระดับฮอร์โมนได้ง่ายๆ ประกอบกับการมีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าแอนโดรพอสทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรค กระดูกพรุนและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด (แม้ว่าหลักฐานอย่างหลังนี้จะยังไม่แน่นหนานัก) ทำให้ผู้คนหันมาสนใจแอนโดรพอสและการใช้ฮอร์โมนทดแทนจริงจังมากขึ้น

ขณะที่ผู้ชายเราหลีกเลี่ยงภาวะฮอร์โมนเพศถดถอยเมื่ออายุมากขึ้นไม่ได้ และยังมีความลังเลว่าการใช้ฮอร์โมนทดแทนจะดีหรือไม่ดีกับตัวเอง แต่ก็มีหลายอย่างที่ช่วยได้แน่นอน เช่น กินอาหารให้ถูกต้อง ใช้ชีวิตแบบแอคทีฟกระตือรือล้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้คงระดับพลังงานไว้ที่ระดับสูง คงมัดกล้ามเนื้อไว้ไม่ให้เหี่ยวหาย และคงจิตใจอารมณ์ให้คมเฉียบอยู่ได้แม้วัยจะล่วงเลยไปแล้ว

อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นตัวช่วย ลองตอบคำถามต่อไปนี้อย่างจริงใจดูก่อน โดยตอบเพียงแค่ว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่”

1. คุณรู้สึกว่าเรี่ยวแรง พละกำลังถดถอยลงไปกว่าเดิม
2. คุณสังเกตว่าคุณเล่นกีฬาหรือออกแรงได้น้อยกว่าเดิม
3. คุณรู้สึกว่ามีความต้องการทางเพศน้อยลง
4. คุณมีความรู้สึกเศร้า หรือหงุดหงิด มากกว่าแต่ก่อน
5. ร่างกายของคุณเตี้ยลงกว่าเดิม
6. คุณรู้สึกว่าตัวเองมีความรื่นเริงบันเทิงใจกับสิ่งต่างๆในชีวิตลดลง
7. คุณรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิม
8. อวัยวะเพศของคุณไม่แข็งตัวตอนตื่นขึ้นมากลางดึกหรือตอนตื่นนอนเช้า
9. คุณม่อยหลับหลังอาหารเย็น
10. คุณรู้สึกว่ากล้ามเนื้อของตัวเองลีบลงกว่าเดิม หรือลงพุง (รอบเอวมากกว่า 34 นิ้ว)
ถ้าคำตอบของคุณคือ “ใช่” ตั้งแต่ 5 ข้อขึ้นไป โดยที่มีข้อ 1 หรือข้อ 2 (ข้อใดข้อหนึ่ง) อยู่ในกลุ่มข้อที่ใช่ด้วย ก็เป็นตัวช่วยบอกว่าคงไม่เสียหลายถ้าคุณจะหาโอกาสไปพบแพทย์เพื่อหารือเรื่อง แอนโดรพอส เจาะเลือดดูฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และรับฟังความเห็นและข้อแนะนำของแพทย์ ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะไปทางไหนต่อดี

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลพญาไท
ข้อมูลจาก http://health4friends.lnwshop.com
รูปประกอบจาก อินเตอร์เนท
 
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

ไขมันพอกตับ โรคร้าย เสี่ยง ตับแข็ง สูง

          ปัจจุบัน ไขมันพอตับกลายเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตับทำงานผิดปกติและ อาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด จากข้อมูลทางคลินิกพบว่าคนอ้วนและผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ดื่มสุราเป็น ประจำมีภาวะไขมันพอกตับสูงถึง 50%1 และ 57.7% ตามลำดับ ส่วนผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไปมีประมาณ 25% เป็นไขมันพอกตับ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ ไขมันพอกตับส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยจึงมักจะไม่รู้ตัวหรือไม่ใส่ใจในการรักษา

          ไขมันพอกตับคืออะไร...
          ไขมัน พอกตับใช่ว่าจะมีไขมันพอกอยู่บนตับ หากแต่หมายถึง การสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ ทำให้ไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักเกิน 5% ของตับ ซึ่งจะทำให้ตับทำงานผิดปกติ ตับอักเสบและอาจพัฒนาเป็นตับแข็งในที่สุด ไขมันพอกตับสามารถแบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระยะ
          - ระยะแรก: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักประมาณ 5-10% ของตับ
          - ระยะกลาง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักประมาณ 10-25% ของตับ
          - ระยะรุนแรง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักเกิน 30% ของตับ
          ไขมัน พอกตับส่วนใหญ่จะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจอัล ตร้าซาวด์เพื่อรักษาโรคอย่างอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยไขมันพอกตับในระยะแรกหรือแม้กระทั่งพัฒนาเป็นตับอักเสบหรือ ตับแข็งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แสดงอาการ

          ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
          ไขมัน พอกตับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มสุรา การสังเคราะห์ไขมันของตับผิดปกติ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ตับอักเสบจากไวรัส การขาดสารอาหาร ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การตั้งครรภ์ เป็นต้น

          ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
          ผู้ ป่วยไขมันพอกตับกว่า 50% ไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นไขมันพอกตับระยะแรก แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา ภาวะไขมันพอกตับก็จะรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ ดังนี้:
          - รู้สึกอึดอัดหรือปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา
          - เบื่ออาหาร รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย
          - ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ
          - อ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง
          - ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการดีซ่าน (ผิวเหลือง และตาเหลือง) หรือคลื่นไส้ อาเจียน         
          - ตรวจพบค่าเอ็นไซม์ตับ SGPT, SGOT สูงขึ้น (แสดงว่าตับมีการอักเสบ)
          - ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
          แต่ อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงของไขมันพอกตับไม่อาจวัดด้วยระดับความรุนแรงหรือจำนวนมาก น้อยของอาการ เนื่องจากบ่อยครั้งไขมันพอกตับจนเป็นตับแข็งแล้วผู้ป่วยก็ยังไม่รู้สึกมี อาการ

          ไขมันพอกตับอันตรายเพียงใด
          - ทำให้ตับทำงานผิดปกติ
          ตับ เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกายและเป็น เสมือนโรงงานเคมีของร่างกายทำหน้าที่สำคัญหลายๆ อย่าง เช่น กักเก็บสารอาหารสังเคราะห์โปรตีน โคเลสเตอรอลและวิตามิน ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน ควบคุมการสันดาปของฮอร์โมน ผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดเมื่อผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บและกำจัด สารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ฯลฯ เมื่อมีเซลล์ไขมันจำนวนมากแทรกอยู่ในเซลล์ตับจะทำให้โครงสร้างภายในของตับ แปรเปลี่ยนไปย่อมจะทำให้ตับทำงานผิดปกติและส่งผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย
          - ส่งผลกระทบต่อผลการรักษาของโรคเรื้อรังต่างๆ
          ไขมัน พอกตับใช่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาเดี่ยวๆ หากแต่เป็นผลพวงของโรคประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ตับขาดสารอาหาร ตับอักเสบจากไวรัส เป็นต้น ผู้ป่วยไขมันพอกตับจึงมักอยู่คู่กับโรคเรื้อรังหลายอย่างเช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ เกาต์ นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น ไขมันพอกตับนอกจากไปเพิ่มความรุนแรงของโรคเรื้อรังเหล่านี้แล้ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาของโรคเรื้อรังเหล่านี้ไม่ดีเท่าที่ ควรและยากต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับให้กลับสู่ภาวะปกติ
          - อาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
      หากไขมันพอกตับไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ ตับอักเสบและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด

          ยาลดไขมันในเลือดสูงส่งผลกระทบต่อไขมันพอกตับอย่างไร...
          โค เลสเตอรอลในร่างกายคนเรา 80% ขึ้นไปสังเคราะห์จากตับ การใช้ยาแผนปัจจุบันเพื่อลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดเป็นประจำจะไปกดการ ทำงานของตับไม่ให้ปล่อยโคเลสเตอรอลเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ตับสำลักไขมันจนเกิดไขมันพอกตับได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดการใช้ยา เป็นอีกวิธีสำคัญวิธีหนึ่งในการป้องกันและบรรเทาภาวะไขมันพอกตับได้

          การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...
          การ แพทย์จีนได้จัดไขมันพอกตับให้อยู่ในกลุ่มโรคของปวดแน่นชายโครง และระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันบกพร่อง ซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการรับประทานอาหารหวานๆ มันๆ และแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ตับที่ทำหน้าที่ในการระบายพลังชี่ และม้ามที่ทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหารผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของพลังชี่และของเหลวข้น (เสมหะหรือไขมัน) ในตับ ทำให้การไหลเวียนของพลังชี่และเลือดในตับติดขัดจนทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลนานวันเข้าก็จะกลายเป็นไขมันพอกตับในที่สุด

          ถึงแม้ว่าพยาธิสภาพของไขมันพอกตับเกิดขึ้นที่ตับแต่จะส่งผลกระทบ
          โดยตรงต่อการทำงานของม้าม ถุงน้ำดีและกระเพาะอาหาร การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีบำบัดแบบองค์รวมดังนี้:
          - ระบายพลังชี่อั้นในตับ ทำให้พลังชี่และเลือดในตับไหลเวียนได้สะดวก ตับจึงกลับมาทำงานได้ปกติรวมทั้ง มีการสังเคราะห์ไขมันในปริมาณที่เหมาะสมด้วย
          - ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของม้าม ทำให้มีการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันได้ดีไม่ให้เกิดการสะสมในตับ

          ไขมันพอกตับจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด..

ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com/
รูปประกอบจากอินเตอร์เนท