"มะรุม" เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณ
บ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วนทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ
ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ
ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก "
ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม" ภาคเหนือเรียก "มะค้อม- ก้อน" ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก "กาแน้งเดิง" ส่วนชาวฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก
"ผักเนื้อไก่" เป็นต้น
มะรุมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย
มะรุม
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง ๓-๔ เมตร ทรงต้นโปร่ง
ใบเป็นแบบขนนกคล้ายกับใบมะขามออกเรียงแบบสลับ
ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็น ช่อสีขาว ดอกมี ๕ กลีบ
ฝักมีความยาว ๒๐-๕๐ เซนติเมตรลักษณะเหมือน ไม้ตีกลอง เป็นที่มาของชื่อต้นไม้ตีกลองในภาษาอังกฤษ (Drumstic
k
Tree) เปลือกฝักอ่อนสีเขียวมีส่วนคอดและส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก
เปลือกฝักแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มลักษณะกลมมีสีน้ำตาล
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เซนติเมตร เมล็ดแก่สามารถบีบน้ำมันออกมากินได้
มะรุม
เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด
ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ
การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน
เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน ๑-๕ ต้น
เพื่อให้เป็น ผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา
คน
ไทยทุกภาคนิยมนำฝักมะรุมไปทำแกงส้ม
ด้วยการปอกเปลือกหั่นฝักมะรุมเป็นชิ้นยาวพอคำ ถือว่าเป็น
ผักที่ทำแกงส้มคู่กับปลาช่อนอร่อยที่สุด
จะต่างกันก็ในรายละเอียดของแกงตามแบบอย่างของแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น
แม้แต่ทางใต้ก็นิยมนำมะรุมมาทำแกงส้มปลา-ช่อน
โดยจะใส่ขมิ้นเพื่อดับกลิ่นคาวปลาและเพิ่มสีสันของน้ำแกง
ปรุงรสเปรี้ยวด้วยการใส่ส้มแขกแทนน้ำมะขาม
และหั่นปลาช่อนเป็นแว่นใหญ่ไม่โขลกเนื้อปลากับเครื่องแกง
ผู้
เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย
รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุม
ไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบ อ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน
ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กิน กับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก
และฝักอ่อนนำ มาลวกหรือต้มให้สุก จิ้มกินกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง
กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน
ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้
ส่วนอื่นๆ
ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง
หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้
ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสาน
จังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งป่นเข้าเครื่อง "ผงนัว"
กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก
คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบ
มะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด ๒ เท่า
การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ ๓
เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน นอกจากนี้
มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ
- วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต ๓ เท่า
- วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด ๗ เท่าของส้ม
- แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน ๓ เท่าของนมสด
- โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท ๓ เท่าของกล้วย
- ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบัน
ชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่าย
ผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด
อาการปวดหูและปวดศีรษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศ
อินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก
แต่ที่ประเทศฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะกินแกงจืดใบ
มะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก "มาลังเก")
เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับนมแม่เหมือนกับคนไทย
ชะลอความแก่
กล่าว
กันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่
เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้
คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน
(rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein
และcaffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่
จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ
การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายได้
ฆ่าจุลินทรีย์
สาร
เบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์และเบนซิล-กลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ.๒๕๐๗
จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากการค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor
pylori กำลังมีการศึกษา สารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว
การป้องกันมะเร็ง
สาร
เบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin)
จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์
มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็น
อาหารเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง
โดยกลุ่มที่กินมะรุมมีเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม
ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จาก
การทดลอง ๑๒๐ วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ ๒๐๐
กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน ๖
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก
ใบมะรุม ๑๐๐ กรัม (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ.๒๕๓๗)
- พลังงาน ๒๖ แคลอรี
- โปรตีน ๖.๗ กรัม (๒ เท่าของนม)
- ไขมัน ๐.๑ กรัม
- ใยอาหาร ๔.๘ กรัม
- คาร์โบไฮเดรต ๓.๗ กรัม
- วิตามินเอ ๖,๗๘๐ ไมโครกรัม (๓ เท่าของแครอต)
- วิตามินซี ๒๒๐ มิลลิกรัม (๗ เท่าของส้ม)
- แคโรทีน ๑๑๐ ไมโครกรัม
- แคลเซียม ๔๔๐ มิลลิกรัม (เกิน ๓ เท่าของนม)
- ฟอสฟอรัส ๑๑๐ มิลลิกรัม
- เหล็ก ๐.๑๘ มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม ๒๘ มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม ๒๕๙ มิลลิกรัม (๓ เท่าของกล้วย)
พบ
ว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอล ฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL
LDL ปริมาณคอเลส-เทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง ๒
กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด
กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระ เพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่
ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคน ที่ มีโรคอ้วนมาแต่เดิม
การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอร
อลใน เลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอก
จากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทาง การแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง
ฤทธิ์ป้องกันตับ
งาน
วิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหาย
โดยยาไรแฟม-ไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมี
ผลกับระดับเอนไซม์แอสพาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีนอะมิโนทรานสเฟอเรส
อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด
และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ
โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน
(silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลาย
ของตับจากยาเหล่านี้
ผลิตภัณฑ์มะรุมของต่างประเทศจะอ้างฤทธิ์รักษาโรค
มากมายทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยา-ศาสตร์
แค่ฤทธิ์ที่พิสูจน์ได้นี้ก็คงเพียงพอแล้วที่คุณ
จะเพิ่มใบหรือฝักมะรุมในรายการอาหารของคุณมื้อกลางวันนี้
ที่มา : หมอชาวบ้าน Online , health4friends.lnwshop.com