วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เมล็ดเชีย (Chia seeds) ประโยชน์และข้อควรระวัง

Chia Seeds (เมล็ดเชีย) ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า " Salvia Hispanica "

หากย้อนอดีตกลับไปจะพบว่า Chia Seeds (เมล็ดเชีย) ถูกปลูกท่ามกลางหุบเขาของเม็กซิโก และเป็นอาหารที่คนแถบประเทศเม็กซิโกและโบลิเวียทานกันมานานกว่า 5,000 ปี โดยชาวอินเดียนแดงและชาวแอซเท็ก (Aztecs) พวกเขาได้นำ Chia Seeds (เมล็ดเชีย)มาใช้เป็นอาหาร โดยผสมกับข้าวโพดถั่วผักโขม และยังใช้เป็นยารักษาโรค นอกจากนี้ Chia Seeds (เมล็ดเชีย) ยังใช้สำหรับบูชาพระเจ้าในงานพิธีต่างๆ รวมถึงยังใช้แทนเงินในการแลกเปลี่ยนสิ่งของอีกด้วย จากประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ชาวแอซเท็ก (Aztecs) ออกรบเพื่อพิชิตดินแดนใหม่ ซึ่งจะต้องใช้พลังงานในการเดินทาง และทำสงคราม นักรบแต่ละคนจะต้องมี Chia Seeds (เมล็ดเชีย) ติดตัวไปด้วย เพราะจะทำให้นักรบ แข็งแรงมีกำลังในการรบและประโยชน์ของมันยังช่วยซ่อมแซมร่างกายในเวลาที่บาดเจ็บ

ประโยชน์ของ Chia Seeds (เมล็ดเชีย)

1. Chia Seeds (เมล็ดเชีย) เป็นเมล็ดพืชที่มีน้ำมัน Omega-3 (โอเมก้าสาม) สูงมากกว่าปลาแซลมอนและพืชชนิดอื่นถึง 8 เท่า ซึ่งเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ บำรุงสมองและจอประสาทตา ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ลดไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์   ( Triglyceride ) และลดความรุนแรงของโรคปวดข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

2. Chia Seeds (เมล็ดเชีย) มี Calcium (แคลเซียม) มากกว่านมสดหนึ่งแก้วถึง 6 เท่า ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดการเสื่อมของกระดูกในผู้สูงอายุ

3. Chia Seeds (เมล็ดเชีย) จะมี Boron (โบรอน) ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกได้ดีขึ้น และเสริมสร้างเข้าไปพร้อมกับการสร้างกระดูกใหม่อยู่ตลอดเวลาที่รับประทานเป็นประจำ สม่ำเสมอ

4. Chia Seeds (เมล็ดเชีย) มี Fiber (ไฟเบอร์) ที่สูงมาก ซึ่งเป็นกากใยอาหารที่สำคัญต่อการขับถ่าย สำหรับผู้ที่ท้องผูกหรือมีปัญหาระบบขับถ่าย ไฟเบอร์จากเมล็ดเชียถือเป็นทางเลือกที่ดีมาก

5. สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ควรผสม Chia Seeds (เมล็ดเชีย) ในน้ำเปล่า แช่ให้เมล็ดพองตัวเต็มที่ ดื่มระหว่างมื้ออาหารของทุกมื้อ เหตุเพราะเมล็ดเชียจะมี Mucilage (มูซิลเลจ) สูงมาก กากใยชนิดนี้ทำหน้าที่เป็นตัวชลอในกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล ซึ่งดีมากกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

6. Chia Seeds (เมล็ดเชีย) มี Protein (โปรตีน) สูง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมเเซมส่วนที่สึกหรอ โดยสารอาหารจะผ่านเข้าไปตามระบบไหลเวียนโลหิตแล้วไปสู่อวัยวะต่างๆ ซึ่งเหมาะกับทุกเพศทุกวัย

7. Chia Seeds (เมล็ดเชีย) จะมีการดูดซับน้ำได้สูง ซึ่งจะอุ้มน้ำไว้ เมื่อเราทานเข้าไป ร่างกายจะไม่ขาดน้ำ ให้ความสดชื่นที่ยาวนานขึ้น เหตุเพราะเมล็ดเชียช่วยให้น้ำอยู่ในระบบทางเดินอาหารนานขึ้น ผ่านกระบวนการย่อยอย่างช้าๆ จึงนำน้ำไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ประโยชน์สูงสุด

8. ผู้ที่มีปัญหา กรด แก๊สในกระเพาะสูง ซึ่งจะนำท่านไปสู่อาการอาหารไม่ย่อยและกรดไหลย้อน หากทาน Chia Seeds (เมล็ดเชีย) เป็นประจำ จะช่วยลดปัญหานี้ได้

9 สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องความอ้วน  Chia Seeds (เมล็ดเชีย) เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ในการควบคุมน้ำหนักของคุณ เหตุเพราะ Chia Seeds (เมล็ดเชีย) จะมีการดูดซึมน้ำและผลิตเจลในปริมาณมากออกมา ซึ่งทำให้คุณอิ่มนานขึ้น อีกทั้ง Chia Seeds (เมล็ดเชีย) มีปริมาณพลังงาน โปรตีน สารอาหารต่างๆที่สูงมาก ดังนั้นนอกจากอิ่มนานแล้ว คุณยังได้รับสารอาหารที่ดีอีกด้วย แนะนำให้ผสมเมล็ดเชียกับน้ำเปล่า ดื่มระหว่างวันเพื่อควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายเพิ่มเติมเพื่อเร่งการเผาผลาญ เพียงแค่นี้คุณก็จะมีสุขภาพและรูปร่างที่ดี

10. ชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของผิวพรรณ ในปัจจุบันได้มีการนำไปสกัดผสมในเครื่องสำอางบำรุงผิว เหตุเพราะ Chia Seeds (เมล็ดเชีย) นั้นมีส่วนช่วยให้ผิวชุ่มชื้น  เนื่องจากเจลของเมล็ดและน้ำมันโอเมก้าสามนั้นจะทำให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านทำให้ดูอ่อนกว่าวัยเช่นเดียวกับการรับประทานเป็นประจำ

ข้อควรระวังจากการทานเมล็ดเชีย (Chia Seeds Side Effects )

เมล็ดเชีย (Chia Seeds) เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ โปรตีน เส้นใย และ ฟลาโวนอยด์ เป็นที่ยอมรับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา และ ได้รับการยืนยันว่าไม่มีแนวโน้มเป็นพิษ สมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกัน (AHA) ได้แนะนำให้ผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจควรกินเมล็ดเชีย(Chia Seeds) ทุกวัน แต่ทั้งนี้คุณประโยชน์และโทษจากผลข้างเคียงยังไม่มีใครรู้สักเท่าไหร่

จากการสังเกตและศึกษาที่ได้รับการเปิดเผยในก่อนหน้านี้ข้อควรระวังมีดังนี้

• เมล็ดเชีย(Chia Seeds) มีเส้นใยสูงถึง 25% อาจก่อให้เกิดอาการท้องอึดและแก๊สในทางเดินอาหารได้ ข้อควรแนะนำให้รับประทานเมล็ดเชีย(Chia Seeds) ที่พองตัวเรียบร้อยแล้ว
• เมล็ดเชีย(Chia Seeds) มีองค์ประกอบเป็นสารก่อภูมิแพ้ในกรณีที่ผู้เป็นภูมิแพ้เมล็ดมัสตาร์ด สำหรับผู้ป่วยภูมิแพ้เมล็ดมัสตาร์ดแนะนำให้หลีกเลี่ยง
• เมล็ดเชีย(Chia Seeds) มีโอเมก้า 3สูง ซึ่งมาความสามารถสลายลิ่มเลือด สำหรับผู้ที่ใช้ยา blood thinners ผู้ที่ใช้ยาแอสไพริน และผู้ป่วยกำลังจะทำการผ่าตัด ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน แต่ ผู้ป่วย haemophiliacs ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานเชีย
• เมล็ดเชีย(Chia Seeds) มีจำนวนของกรดอัลฟาไล-โนเลนิค สูง
มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าจำนวนมากของกรดอัลฟาไลโนเลนิ-ในอาหารอาจเพิ่มโอกาสของการ มะเร็งต่อมลูกหมาก
หากคุณมีมะเร็งต่อมลูกหมากหรือมีความเสี่ยงสูงในการได้รับมันหลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณมากของ Chia
• การวิจัยที่ทำโดยโรงพยาบาลเซนต์ไมเคิลในโตรอนโตแคนาดา ได้ชี้ให้เห็นว่าเมล็ด Chia อาจมีความสามารถในการลดความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่น่าตกใจ ดังนั้นผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำควรทานในปริมาณน้อย
• ไม่ควรบริโภคเมล็ดเชีย(Chia Seeds)ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ควรหยุดพักเป็นบางกรณี
• คุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรที่ต้องการรับประทานเมล็ดเชีย(Chia Seeds) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบต่อผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
• เมล็ดเชีย(Chia Seeds)มีวิตามิน B17 สูง สำปรับผู้ที่ทาน วิตามิน B17 เป็นประจำและทานเมล็ดเชีย(Chia Seeds)อาจจะได้รับปริมาณ วิตามิน B17 เกินขนาด

ข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการทานเมล็ดเชีย ถ้าคุณทานในปริมาณที่แนะนำหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางของคุณก่อน

ปริมาณ ที่แนะนำในการทาน เมล็ดเชีย

ผู้ใหญ่ - 15 กรัม (ช้อนโต๊ะ).ต่อวัน
สำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรทาน 33 ถึง 41 กรัม ทุกวันเป็นเวลา เดือน
เด็กอายุ (5-18 ปี) - 1.4 ถึง 4.3 กรัมต่อวัน
อายุต่ำกว่า 10 - 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน




ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com/

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู ช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้

  วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2558 ที่คลินิคโรคทางสมองและประสาท ห้อง 4 ชั้น 4 โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ หรือ หมอเบิร์ด ประสาทและศัลยแพทย์ โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อายุ 39 ปี เปิดเผยว่า จากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมาเป็นเวลานานพบว่า โรคนี้เป็นโรคที่ติดอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิต โดยปี 2557 เส้นเลือดในสมองตีบทำให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 และก่อให้เกิดความพิการเป็นอันดับ 1 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูงมาก ทั้งการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเฉลี่ยครั้ง 15,000 บาทต่อครั้ง และการใส่สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดแดงเฉลี่ย 200,000 บาทต่อครั้ง
“สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบมี 3 ประการ ด้วยกันคือ 1.หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือลิ้นหัวใจมีปัญหา 2.เส้นเลือดที่บริเวณลำคอตีบทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และ 3.สมองตันจากไขมันหรือหินปูนเกาะ ซึ่งคนทั่วไปที่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยเปรียบเทียบจากท่อน้ำที่มีอายุ มองภายนอกอาจไม่ทราบเพราะน้ำยังไหลอยู่ ไม่มีอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ตีบหรือตัน ภายในย่อมเกิดสนิมเกาะและในที่สุดก็จะอุดตันได้ หรือคนที่มีโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะขรุขระหรืออุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งพิการหากเป็น หรือเป็นอัมพาตได้ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้”
mr (2)
นพ.ประชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม มีคนไข้ในความดูแลหลายรายที่มารักษาด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเรามีนวัตกรรมใหม่ในการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้ใส่สายสวนลงไปที่เส้นเลือดแดงผ่านไปยังเส้นเลือดแดงใหญ่ที่หน้าอก คอ สมอง ขยายหลอดเลือดแดงที่สมอง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้มีคนไข้รายหนึ่งเป็นชายมีอาการหลอดเลือดที่คอตีบเข้ามารับการรักษาเลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองทำให้เกล็ดเลือดอุดเป็นก้อน มีอาการอ่อนแรงและอัมพาตชั่วคราว ทางเราใช้ยารักษาและป้องกันจนอาการดีขึ้น แต่ต่อมาเกิดอาการซ้ำ มีการใช้ยาเพิ่ม 2 ตัว แต่เอาไม่อยู่ต้องผ่าตัดเพื่อทำบอลลูนขยายเส้นเลือด
mr (1)“คนไข้รายนี้กลัวการผ่าตัดมาก จึงตัดสินไม่ผ่าตัด และขอไปรักษากินยาสมุนไพร ซึ่งหมอเตือนไปว่าอาจเกิดอาการอุดตันซ้ำ ขอให้กินยาแผนปัจจุบันที่หมอให้ควบคู่ไปด้วย 6 เดือนผ่านไปปรากฎว่าว่ามีเรื่องน่าสนใจและไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น หลังจากหมอเอกซ์เรย์และฉีดสีดูเส้นเลือดที่ตีบเส้นเดิมนั้น เส้นเลือดที่เคยตีบ หรือขรุขระ กลับเรียบสวย ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว เป็นเรื่องที่หมอไม่เชื่อแต่น่าสนใจจึงสอบถามว่าไปทำอย่างไรมา คนไข้อธิบายได้ความว่าได้นำขิง พุทราจีนแห้ง และเห็ดหูหนูดำ มาตุ๋นรวมกัน ดื่มเช้า-เย็น กินแทนน้ำ ปัจจุบันหยุดยาแผนปัจจุบันไปเลย”  
นพ.ประชา กล่าวว่า รายที่ 2 มีอาการหนักมาก เพราะเส้นเลือดในสมองตีบ และเลือดออกในกระเพาะ อายุ 70 ปี ต้องให้ยารักษาประคองอาการ เพราะจะให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมองไม่ได้ เพราะต้องรอแผลในกระเพาะหายก่อน จึงลองเล่าให้ลูกสาวฟังถึงอาการของคนไข้รายแรกว่าหายได้ด้วยสมุนไพร 3 อย่างที่กล่าวมา ซึ่งแพทย์เองก็ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่อันตรายเลยอยากให้ลองดู เพราะยาแผนปัจจุบันใช้ไม่ได้ ปรากฎว่า 2 เดือนกลับมาตรวจใหม่เส้นเลือดเรียบดีขึ้น และได้ลองบอกคนไข้รายต่อไปที่สนิทกันว่าให้ลองนำสมุนไพรมาตุ๋นดื่ม อาจมีประโยชน์จริง ปรากฎว่าดีขึ้นทุกราย เพราะเส้นเลือดที่เคยขรุขระเรียบสวยขึ้น
mr (4)“ผมก็เกรงว่าจะเป็นดาบสองคม จึงบอกเฉพาะคนไข้ที่สนิทกัน แต่ทั้ง 16 ราย ดีขึ้นหมด เพราะเหมือนเราล้างท่อทุกวัน จึงไม่มีทางตัน คนไข้รายที่ 2 กินแทนน้ำไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย ที่สำคัญไตยังทำงานได้ดีขึ้น เพราะพุทราจีนบำรุงไต ส่วนผสมที่เหมาะสมคือ น้ำ 1 ลิตร พุทราจีนแห้ง 20-30 ผล เห็ดหูหนูดำ 10 ช่อใหญ่ หรือ 20 ช่อเล็ก ขิง 1 ขีดใหญ่ ตุ๋นประมาณ 2-4 ชั่วโมง ได้น้ำ 50-60% กินแต่น้ำ”
นพ.ประชา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้มีการพัฒนาต่อยอดในโรงพยาบาลของรัฐบาล เพราะเราไม่มีปริมาณคนไข้มากพอที่จะทำงานวิจัย แต่เมื่อรู้ว่าดีก็บอกต่อ ขณะนี้ยังไม่ได้ทำการพัฒนาและวิจัยว่าจริงหรือไม่จริง 100% แต่เห็นว่าเป็นประโยชน์ และยืนยันว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากโรงพยาบาลรัฐจะทำการวิจัยโดยคนไข้จำนวนมากเพื่อดูผลก่อนและหลังว่าได้ผลกี่เปอร์เซนต์น่าจะดีและมีประโยชน์ในอนาคตในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบ แต่ในแง่ของการรักษาเบื้องต้นสามารถมารับการรักษาและรับคำแนะนำได้ที่คลินิคโรคหลอดเลือดทางสมองและประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม ซึ่งทางโรงพยาบาลมีระบบช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก
mr (3)อาการคือ อ่อนแรง หรือชาแขนขาซีกใดซีกหนึ่งทันทีทันใดพูดไม่ชัด ไม่เป็นคำ หรือพูดไม่ได้ทันทีทันใด ปากเบี้ยว ตามืดมองไม่เห็นทันทีทันใดข้างใดข้างหนึ่ง หากมีอาการดังกล่าวให้รีบไปโรงพยาบาลทันที หากช้ากว่า 4 ชั่วโมงครึ่งอาจรักษาไม่ทันและทำให้เกิดความพิการตามมา
“ปัจจุบันหมอก็กินน้ำตุ๋นจากสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด เพราะเชื่อว่าแก้เส้นเลือดอุดตันทั่วร่างกาย ลดไขมัน ทุกคนในครอบครัวกินหมด โดยเฉพาะพี่ชายหมอ ซึ่งก็เป็นหมอเช่นกัน หลังลองกินแล้วไปเล่นกีฬาหนักๆ ไม่มีอาการปวดขาจากกล้ามเนื้อขาดเลือดอย่างที่เคยเป็นเลย ซึ่งหมอดีใจเพราะไม่อยากรักษาคนในครอบครัวที่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบเช่นกัน ส่วนตัวไม่อยากให้คนไทยเป็นโรคนี้เพราะเป็นแล้วจะพิการ โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวที่เป็นแล้วทำให้ครอบครัวล่มสลาย จึงมีความหวังดีมาบอกต่อ โดยไม่หวังผลด้านธุรกิจ”
CR : สำนักข่าวเห็ดลม 
ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com/

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รักษาโรคภูมิแพ้และอาการหวัดด้วยหัวไชเท้า

หัวไช้เท้า
   บ้างก็เรียกว่า หัวไชเท้าหรือหัวผักกาดขาว เป็นพืชตระกูลผักกาด เป็นพืชผักที่อุดมด้วยคุณค่าทางอาหารสูง หัวไช้เท้ามีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน และได้มีการแพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ตามการอพยพย้ายถิ่นของชาวจีน ในตำรับอาหารไทยหัวไช้เท้ามักจะถูกนำมาปรุงเป็นน้ำซุป แกงจืด แกงส้ม ทอด เป็นต้น หัวไช้เท้านอกจากจะอร่อยแล้วยังหาซื้อรับประทานได้ง่าย มีให้รับประทานกันตลอดทั้งปี

สารอาหารสำคัญในหัวไช้เท้า

   ในหัวไช้เท้ามีวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี ไนอะซิน วิตามินบี 9 โฟเลต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ทองแดง แมกนีเซียม นอกจากนี้ยังประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต เส้นใยอาหาร และโปรตีน ตามตำรับยาจีนนำหัวไช้เท้าช่วยขจัดสารพิษ ล้างพิษในร่างกาย ช่วยละลายเสมหะจากปอด เจ็บคอ แก้ไข้หวัด ส่วนตำรับยาไทยนิยมนำรากหัวรักษาโรคไข้หวัด ช่วยละลายเสมหะ รักษาอาการท้องอืด กระหายน้ำ บรรเทาอาการเจ็บคอ และทำให้ช่วยเจริญอาหาร
   เนื่องจากหัวไช้เท้าอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายและช่วยร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค ดังนั้นหัวไช้เท้าจึงได้ถูกนำมาปรุงเป็นยารักษาไข้หวัดได้ผลดี และหัวไช้เท้ายังมีเอนไซม์ เช่น อะมัยเลส (Amylase) เอสเทอร์เรส (Esterase) ไดแอสเทส (Diastase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สามารถกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ช่วยในกระบวนการย่อยอาหารโดยเฉพาะแป้งและไขมัน นอกจากนี้หัวไช้เท้ายังสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและบำรุงผิวพรรณอีกด้วย


การปรุง


วัตถุดิบ: หัวไชเท้าหนึ่งหัวและน้ำผึ้ง 500 กรัม
อุปกรณ์: ขวดแก้ว


วิธีทำ:

1 . ปอกเปลือกของหัวไชเท้าออก แล้วหั่น
2 . เอาหัวไชเท้าที่หั่นแล้วใส่ลงไปในขวด เทน้ำผึ้งลงไป ปิดฝาแล้วคว่ำขวดลง
3 . หมักไว้สามวันก็สามารถเอามาทำเป็นเครื่องดื่มได้แล้ว

วิธีการดื่ม

เอาหัวไชเท้าที่แช่น้ำผึ้งผสมกับน้ำเปล่าทำเป็นเครื่องดื่มแล้วคุณก็สามารถดื่มทุกวันได้ ความหวานแล้วแต่คุณชอบ หัวไชเท้าสามารถเอามากินได้ และไม่ต้องแช่เย็น

ข้อระวัง : หลังจากปอกเปลือกแล้วห้ามล้างน้ำ


ข้อมูลจากแฟนเพจหมอบ้านบ้าน
ที่มา : http://health4friends.lnwshop.com/
รูปจากอินเตอร์เนต

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นมธัญพืช เพิ่มความแข็งแรงของเม็ดเลือด

นมธัญพืช
มีคุณสมบัติ ช่วยฟื้นฟู กระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ผิวพรรณ เพิ่มความแข็งแรงของเม็ดเลือดควบคุมแคลเซียมในเลือดให้สมดุล
นมธัญพืชมีส่วนประกอบหลักดังนี้
- ข้าวกล้อง 100 กรัม
- เม็ดบัว 100 กรัม
- ลูกเดือย 100 กรัม
วิธีการทำ
1. นำเม็ดบัว ลูกเดือย แช่น้ำประมาณ 2 ชั่วโมง (หรือ 1 คืน)
. (หรือ ประมาณตามที่เราจะทำได้ค่ะ น้ำที่แช่อย่าทิ้งนะคะ มีสารอาหารเพิ่มขึ้นมากมายในน้ำที่แช่ นำไปต้มหรือเก็บไว้ต้มตอนปั่นเสร็จ ได้ประโยชน์มากๆต่อร่างกายค่ะ)
2. นำเม็ดบัว ลูกเดือย ไปต้มน้ำให้สุกแล้วนำไปปั่นกับข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือที่หุงสุกให้ละเอียด
.(ได้ต้มรวมทั้ง 3 อย่าง ไม่ได้หุงข้าวกล้องไว้ค่ะ)ดีบัวจะแกะออกหรือไม่แกะก็ได้ถ้ามี
ดีบัวขมนั้น มีประโยชน์ต่อหัวใจ สรรพคุณช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจ
3. เมื่อทั้งสามอย่างผสมปั่นรวมกันละเอียดดีแล้วให้นำมาต้มกับ น้ำจำนวน 2 ลิตร ต้มให้เดือด ค่อยๆคนไม่ให้ไหม้ติดก้นหม้อ สังเกตจนกระทั่งมีลักษณะเหมือนข้าวต้มที่หุงสุก ปั่นครั้งละน้อยๆ
4. ตักแต่น้ำใสมาดื่ม
ปั่นเสร็จต้มอีกครั้ง กรองหรือไม่แล้วแต่ชอบนะคะ กรองเหมาะสำหรับเด็กๆ

ข้าวกล้อง ( Brown Rice or Cargo )
ข้าวกล้องได้แก่ เมล็ดข้าวที่ผ่านการกะเทาะเปลือกออกโดยไม่มีการขัดสีใดๆ จึงยังมีจมูกข้าว หรือเอมปริโอ( embryo) และรำข้าวซึ่งเป็นเยื่อบางๆหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ปัจจุบันมีคนหันมาบริโภค ข้าวกล้องมากขึ้น เพราะมีคุณภาพทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยแร่ธาตุและวิตามินรวมกว่า 20 ชนิด ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เกลือแร่และวิตามิน ที่มีอยู่ในข้าวกล้อง
วิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา
วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
ไนอะซีน ช่วยรักษาระบบผิวหนังและระบบประสาท
ป้องกันโรคเพ็ลเลกรา (pellagra)
ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย
ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันไม่ให้เป็นตะคิว
ทองแดง สร้างเม็ดโลหิตและฮีโมโกลบิน
ธาตุเหล็ก ป้องกันโรคโลหิตจาง โปรตีน เสริมสร้างสวนที่สึกหรอ
ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย
(ไขมันในเมล็ดข้าว ไม่มี คอเลสเตอรอล)
คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
เส้นใยอาหาร ข้าวกล้องมีเส้นใยอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก
และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ได้
เม็ดบัว
เม็ดบัวมีปริมาณ สารอาหารที่สำคัญ คือ โปรตีน ประมาณ 23 % ซึ่งสูงกว่าข้าวถึง 3 เท่า และเป็นแหล่งรวมธาตุอาหารหลายชนิดด้วยกัน มีสรรพคุณ บำรุงประสาท บำรุงไต บำรุงม้าม และ บำรุงหัวใจ ช่วยให้จิตใจสงบ ลำไส้แข็งแรง รักษาอาการท้องร่วง บิดเรื้อรัง สตรีประจำเดือดมามาก นำกามออกไม่รู้ตัว ต้นอ่อนในเม็ดบัวช่วยลดความดันโลหิต ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ แก้กระหาย แก้อาเจียนเป็นเลือด
ลูกเดือย
ลูกเดือย จัดเป็นพืชตระกูลข้าว มีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Coixlachry-jobi Linn var mayuen Stapt Family Gramineae
สำหรับประโยชน์ของธัญพืชชนิดนี้ ในตำราจีน กล่าวว่า ลูกเดือย รสชุ่มคอ เย็น แก้ร้อนใน บำรุง ไต ม้าม ปอด กระเพาะอาหาร ขับปัสสาวะ รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอดรักษา อาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้ไข้ เหน็บชา ชักกระตุก สตรีตกขาวมากกว่าปกติ
ในตำราจีนจึงมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าวต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุง กำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การรับประทานลูกเดือยต้มน้ำจะสามารถที่จะแก้ร้อนในได้
ส่วนประกอบด้านสารอาหารของลูกเดือย
-คาร์โบไฮเดรต 58-62 %
-ไขมัน 5%
-โปรตีน 12%
-น้ำ 10.8 %
-ใยอาหาร 8.4 %
นอกจากนี้ในลูกเดือย ยังมีวิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆเช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี1 เป็นต้น
ดังนั้น ลูกเดือย เป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และการที่มีวิตามินบี 1 สูง จึงช่วย แก้เหน็บชา ตามความเชื่อของชาวจีน เป็นอาหารสำหรับคนไข้พักฟื้น ช่วยเจริญอาหาร นอกจากนี้ลูกเดือย มีกรดอะมิโน ที่กระตุ้นให้เซลล์ สมองหลั่งสารที่ทำให้ นอนหลับ
ข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์
สาร coxenoilde ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอก หรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้ระบบการหมุนเวียนของเลือด ที่ผิวหนังดีขึ้น ทำให้เส้นผมเจริญดีขึ้น
ลูกเดือย ยังมีสรรพคุณในการรักษา โรคหูด ที่มักจะเป็นเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือ จากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
มีการทดลองพบว่า เมล็ดลูกเดือยมีสาร Coixans A B และ C ลดน้ำตาลในเลือดหนูปกติ Coixan A มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ในหนูเป็นเบาหวานได้
สำหรับน้ำลูกเดือยให้ฟอสฟอรัส สูงมาก ช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงธาตุ ดังนั้นเป็นอาหารที่เหมาะ สำหรับคนไข้ พักฟื้น นอกจากนั้นยังช่วยในการเจริญอาหาร และกรดอะมิโนในลูกเดือย จะไปกระตุ้นเซลล์สมองให้หลั่งสาระสำคัญทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ นำผักปั่นและนมธัญพืช
โดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์
Cr: http://health4friends.lnwshop.com/

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นานาตำรับ ใช้ข้าวเป็นยารักษาโรค

ประโยชน์ของข้าว
อาหารหลักของชาวไทยมีมากมาย ซึ่งข้าวไม่ได้มีแค่คาร์โบไฮเดรต แต่ยังมีสารอื่นที่เป็นประโยชน์ อาทิ โปรตีน วิตามิน เส้นใยอาหาร และเกลือแร่ต่าง ๆ รวมแล้วมากกว่า 20 ชนิดโดย คุณประเสริฐ ภูมิสิงห์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวเป็นยารักษาโรค ชมรมการแพทย์พื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ได้แนะนำองค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการนำข้าวมาเป็นยารักษาโรค ป่วยเมื่อไหร่ หยิบ 8 ตำรับยาง่าย ๆ จากข้าวนี้ลองใช้เพื่อการบำบัดอาการกันดู
1. น้ำซาวข้าว รักษาโรคพิษงูสวัด
ส่วนผสม น้ำซาวข้าว 1 ถ้วย ใบเสลดพังพอน 10 ใบ
วิธีทำ ล้างใบเสลดพังพอนให้สะอาด นำมาตำให้ละเอียด จากนั้นนำไปผสมกับน้ำซาวข้าวที่เตรียมไว้ เมื่อผสมยาจนเข้ากันแล้วจะมีลักษณะเป็นน้ำข้นเหนียวสีเขียว ทิ้งไว้ให้แห้งก็นำไปทาได้เรื่อย ๆ
สรรพคุณ ดูดพิษงูสวัด ถอนพิษจากสัตว์มีพิษ เช่น งู แมงมุม แมงป่อง ตะขาบ หรือแมงกัดต่อย นอกจากนี้ยังช่วยดูดพิษจากแผลอักเสบและพิษจากเห็ดได้อีกด้วย
2. ข้าวจี่ รักษาฝีหนอง
ส่วนผสม ข้าวสุด 1 ปั้น น้ำซาวข้าว 1 ถ้วย ใบลำโพง 10 ใบ
วิธีทำ ล้างใบลำโพงให้สะอาด นำมาตำให้ละเอียด จากนั้นนำข้าวสุกไปจี่ไฟให้ดำ นำมาตำพร้อมกับใส่ใบลำโพงที่เตรียมไว้ ผสมกับน้ำซาวข้าว เมื่อผสมยาจนเข้ากันแล้ว ทิ้งไว้ให้แห้งก็นำไปใช้ได้เลย
สรรพคุณ ใช้พอกบริเวณที่เป็นฝี ช่วยดูดพิษฝีหนอง นอกจากนี้ยังช่วยดูดพิษจากอีสุกอีใสได้อีกด้วย
3. น้ำซาวข้าวผสมขิงรักษาผด ผื่นแดง และอาการคัน
ส่วนผสม ขิงแก่สด 2 ถ้วย น้ำซาวข้าว 1 ถ้วย
วิธีทำ ล้างขิงให้สะอาด นำมาตำให้ละเอียดโดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง จากนั้นนำไปผสมกับน้ำซาวข้าวที่เตรียมไว้ เมื่อผสมยาจนเข้ากันแล้ว แล้วจะมีลักษณะเป็นน้ำข้นสีเหลือง ทิ้งไว้สักครู่ก็นำไปทาได้เรื่อย ๆ
สรรพคุณ ใช้ทาบริเวณที่เป็นผด ผื่นแดง ช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี
4. น้ำข้าวตังก้นหม้อ แก้ปัญหาอาหารไม่ย่อย
ส่วนผสม ข้าวตังก้นหม้อ 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ นำข้าวตรงก้นหม้อที่สุกจนเกือบไหม้ติดก้นหม้อไปต้มให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 3 นาที เติมน้ำมะนาวลงไป ได้เป็นน้ำข้าวตังเทน้ำข้าวตังที่ได้ใส่หม้อหรือเหยือกน้ำ รินดื่มได้ตลอดวัน
สรรพคุณ ใช้ดื่มแก้หิวกระหาย บำรุงกำลังและช่วยกระตุ้นน้ำย่อย แก้ปัญหาอาหารไม่ย่อยได้ดี
5. น้ำนมข้าว ช่วยฟื้นไข้ แก้อาการอ่อนเพลีย
ส่วนผสม รวงข้าวอ่อน 1 กำมือ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ ล้างรวงข้าวอ่อนให้สะอาด นำมาทุบให้บุบแล้วตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ประมาณ 1 นิ้ว ต้มรวงข้าวกับน้ำให้เดือดแล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 10 นาที ค่อย ๆ เติมน้ำผึ้งลงไป ต้มต่ออีกสักครู่ แล้วเทน้ำนมข้าวใส่เหยือกน้ำ รินดื่มได้ตลอดวัน
สรรพคุณ ดื่มแก้อ่อนเพลีย เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฟื้นไข้ ดื่มแล้วจะหายเร็ว หรือนำน้ำนมข้าวผสมกับนมวัว เป็นยาบำรุงกำลังได้เช่นกัน
6. น้ำรากข้าวเหนียว แก้ไอ ละลายเสมหะ
ส่วนผสม รากข้าวเหนียวแห้ง 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ ล้างรากข้าวเหนียวให้สะอาด นำไปตากแดดให้แห้งตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ประมาณ 1 นิ้ว ต้มรากข้าวเหนียวแห้งกับน้ำให้เดือด แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 5 นาที ค่อย ๆ เติมน้ำผึ้งลงไป ต้มต่ออีกสักครู่ จะได้น้ำรากข้าวเหนียวที่มีรสชุ่มคอ จากนั้นเทน้ำรากข้าวเหนียวใส่เหยือกน้ำ รินดื่มเวลาที่มีเสมหะ
สรรพคุณ ดื่มแก้ไอ ละลายเสมหะ บรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยกระตุ้นน้ำลาย นอกจากนี้ยังช่วยแก้เหงื่อออกมากได้อีกด้วย
7. น้ำข้าวกล้องกับใบฝรั่งรวมพลังแก้ท้องเสีย ท้องร่วง
ส่วนผสม ข้าวกล้อง 1 ถ้วย ใบฝรั่ง 7 ใบ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำ 1 ลิตร
วิธีทำ ล้างรากข้าวเหนียวให้สะอาด นำมาต้มรวมกับข้าวกล้องพอน้ำเดือดให้ลดไฟลง เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง เติมเกลือลงไป กรองเอากากออก เก็บไว้แบ่งดื่ม เช้า กลางวัน เย็น จนกว่าจะหายท้องเสีย
สรรพคุณ ดื่มแก้ท้องเสีย ท้องร่วง นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ได้อีกด้วย
8. ข้าวดอกมะขาม ขับเลือดลม แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
ส่วนผสม ข้าวดอกมะขาม 1 ถ้วย น้ำ 1 ลิตร
วิธีทำ นำข้าวดอกมะขามมาทั้งรวง (มีสีเหลืองนวลคล้ายดอกมะขามและมีลายในเมล็ดข้าว) ทุบให้บุบแล้วตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ประมาณ 1 นิ้ว ต้มข้าวดอกมะขามกับน้ำให้เดือดเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 20 นาที กรองเอากากออกจากนั้นเทน้ำข้าวดอกมะขามใส่แก้ว ดื่มให้หมดในครั้งเดียว
สรรพคุณ ช่วยบำรุงเลือด ขับเลือดลมในผู้หญิงและแก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
หมายเหตุ : 1 ถ้วย = 240 ซีซี, 1 ช้อนโต๊ะ = 15 ซีซี
อาหารคือยารักษาโรคที่ดีที่สุดของคนเรา คำกล่าวของ ฮิปโปเครติล (Hippocrates) บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่มีคนจำนวนมากให้สมญานามว่าเป็นบิดแห่งการแพทย์ มีแนวคิดทางการแพทย์ที่คนในยุคปัจจุบันมักเรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด" อยากให้คุณลองเริ่มต้มกินอาหารให้เป็นยา จะได้มีสุขภาพดี ๆ ไว้เป็นเพื่อนคู่กายตลอดไป
ที่มา http://health4friends.lnwshop.com/
รูปประกอบจากอินเตอร์เนต