โรคงูสวัด (Herpes zoster)
เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่บริเวณผิวหนังชนิดหนึ่ง ทำให้มีผื่นตุ่มขึ้นเป็นแนวยาวๆ บริเวณที่ขึ้นกันบ่อย ก็คือ แนวบั้นเอวหรือแนวชายโครง(จากสะดือถึงกลางหลัง) บางคนอาจขึ้นที่ใบหน้า แขนหรือขาก็ได้ แต่จะมีลักษณะการขึ้นคล้ายกันคือจะขึ้นเพียงซีกหนึ่งซีกใดของร่างกายเท่านั้น เช่น ซีกขวาหรือไม่ก็ซีกซ้าย
โรคนี้มักไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่บางรายหลังแผลหายแล้วอาจมีอาการปวดประสาทนานเป็นแรมปี หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้ และจากความเชื่อที่ว่า เป็นรอบเอวแล้วตาย นั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะที่เสียชีวิตอาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานโรค การรู้จักรักษาร่างกายให้แข็งแรง เสริมภูมิต้านทานโรคให้สมบูรณ์อยู่เสมอ จึงมีความสำคัญในการป้องกันโรคและระงับความรุนแรงของโรค
สาเหตุของโรคงูสวัด
เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "เชื้อวีแซดวี (varicella-zoster virus)" ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ครั้งแรก (ซึ่งมักเกิดขึ้นในวัยเด็ก) ส่วนใหญ่จะแสดงอาการของโรคอีสุกอีใส ส่วนน้อยจะไม่มีอาการแสดงให้ปรากฏหลังจากหายจากโรคอีสุกอีใสไปแล้ว เชื้อจะหลบซ่อนอยู่บริเวณปมประสาทใต้ผิวหนัง และแฝงตัวอย่างสงบเป็นเวลานานหลายปีถึงสิบๆ ปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น อายุมาก ถูกกระทบกระเทือน มีความเครียด ทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ ติดเชื้อเอชไอวี เป็นมะเร็ง ใช้ยาต้านมะเร็งหรือยา กดภูมิคุ้มกัน เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ (เกิดอาการปวดตามแนวเส้นประสาท) เชื้อจะกระจายไปตามเส้นประสาทที่อักเสบ และปล่อยเชื้อไวรัสออกมาที่ผิวหนัง เกิดเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท ที่เป็นโรคงูสวัดจึงมักมีประวัติเคยเป็นอีสุกอีใสในวัยเด็ก หรือเคยมีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มาก่อน โดยไม่มีอาการแสดง ซึ่งสามารถตรวจพบสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ในเลือด
เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น อายุมาก ถูกกระทบกระเทือน มีความเครียด ทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ ติดเชื้อเอชไอวี เป็นมะเร็ง ใช้ยาต้านมะเร็งหรือยา กดภูมิคุ้มกัน เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ (เกิดอาการปวดตามแนวเส้นประสาท) เชื้อจะกระจายไปตามเส้นประสาทที่อักเสบ และปล่อยเชื้อไวรัสออกมาที่ผิวหนัง เกิดเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท ที่เป็นโรคงูสวัดจึงมักมีประวัติเคยเป็นอีสุกอีใสในวัยเด็ก หรือเคยมีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มาก่อน โดยไม่มีอาการแสดง ซึ่งสามารถตรวจพบสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ในเลือด
อาการของโรคงูสวัด
ก่อนมีผื่นขึ้น 1-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแปลบๆ บริเวณเส้นประสาทที่เป็นงูสวัด อาจมีอาการคันและแสบ ร้อน (คล้ายถูกไฟไหม้) เป็นพักๆ หรือตลอดเวลาบริเวณ พบบริเวณชายโครง ใบหน้า แขนหรือเพียงข้างเดียว อาจทำให้คิดว่าเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อ ถ้าปวด ที่ชายโครง ก็อาจทำให้คิดว่าเป็นโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วในไต ไส้ติ่งอักเสบได้ ถ้าปวดที่ใบหน้าข้างเดียว อาจทำให้คิดว่าเป็นไมเกรน หรือโรคทางสมองได้ บางรายอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ท้องเดินร่วมด้วย ส่วนมากมีผื่นขึ้นตรงบริเวณที่ปวดแล้วกลายเป็นตุ่มใสเรียงตามแนวผิวหนังที่เลี้ยง โดยเส้นประสาทที่อักเสบ ตุ่มน้ำมักทยอยขึ้นใน 4 วันแรก แล้วค่อยๆ แห้งตกสะเก็ดใน 7-10 วัน เมื่อตกสะเก็ดและหลุดออกไป อาการปวดจะทุเลาไป รวมแล้วจะมีผื่นอยู่นาน 10-15 วัน ผู้ที่มีอายุมากอาจ มีอาการนานเป็นเดือนกว่าจะหายเป็นปกติ
โรคงูสวัด รักษาให้หายได้ด้วย สมุนไพรไทย
-ตำลึง (Coccinia grandis (L.) Voigt) ให้ใช้ใบตำลึงสด ๆ ประมาณ 2 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาผสมกับพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นงูสวัด
-เทียนบ้าน (Impatiens balsamina L.) ให้ใช้ต้นสด นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำดื่มเป็นยา ส่วนกากที่เหลือให้เอามาพอกบริเวณที่เป็น
-ผักบุ้งทะเล (Ipomoea pes-caprae (L.) R. Br.) ทั้งต้นมีสรรพคุณช่วยกระจายพิษ แก้พิษฝีบวม ฝีหนองบวมแดงอักเสบ รวมทั้งช่วยแก้งูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
-ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees) ให้รับประทานยาฟ้าทะลายโจรก่อนอาหาร 2-3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ เนื่องจากงูสวัดคือเชื้อไวรัสที่จะอยู่นาน 3 สัปดาห์ ถ้าใช้รักษาให้ครบตามเวลา ก็จะทำให้ไม่กลับมาเป็นอีก
-มันเทศ (Ipomoea batatas (L.) Lam.) ตำรายาไทยจะใช้หัวมันเทศนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกแผล รักษาเริม และงูสวัด
-รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ใบและรากมีสรรพคุณเป็นยาต้านการอักเสบต่าง ๆ เช่น อาการผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย เริม อีสุกอีใส รวมทั้งงูสวัด
-ว่านมหากาฬ (Gynura pseudochina (L.) DC.) ใช้ใบสดตำพอกรักษางูสวัด โดยใช้ใบสดประมาณ 5-6 ใบ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำในภาชนะที่สะอาด ใส่พิมเสนเล็กน้อย หรือใช้ใบโขลกผสมกับเหล้า แล้วเอาน้ำที่ได้มาทาหรือพอกบริเวณที่เป็น
-เสลดพังพอนตัวผู้ (Barleria lupulina Lindl.) เสลดพังพอนตัวผู้ ให้ใช้ใบสด (ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป) ประมาณ 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาและเอากากพอกบริเวณที่เป็น (วิธีการใช้จะเหมือนกับเสลดพังพอนตัวเมีย แต่เสลดพังพอนตัวผู้จะมีฤทธิ์ทางยาอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย ชาวบ้านจึงนิยมใช้เสลดพังพอนมาทำเป็นยาเสียมากกว่า)
-เสลดพังพอนตัวเมีย หรือ พญายอ (Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau) ให้ใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด ๆ ประมาณ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นมน ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป) นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาวคั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำมาทาและเอากากพอกบริเวณที่เป็น ส่วนตำรับยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด ๆ นำมาผสมกับดอกลำโพง และโกฐน้ำเต้า อย่างละเท่ากัน รวมกันตำให้พอแหลก แช่กับเหล้า แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด
-เหงือกปลาหมอ (Acanthus ebracteatus Vahl) ให้ใช้รากสดนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้
-เทียนบ้าน (Impatiens balsamina L.) ให้ใช้ต้นสด นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำดื่มเป็นยา ส่วนกากที่เหลือให้เอามาพอกบริเวณที่เป็น
-ผักบุ้งทะเล (Ipomoea pes-caprae (L.) R. Br.) ทั้งต้นมีสรรพคุณช่วยกระจายพิษ แก้พิษฝีบวม ฝีหนองบวมแดงอักเสบ รวมทั้งช่วยแก้งูสวัด (ตามข้อมูลไม่ได้ระบุวิธีใช้เอาไว้)
-ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) Nees) ให้รับประทานยาฟ้าทะลายโจรก่อนอาหาร 2-3 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ เนื่องจากงูสวัดคือเชื้อไวรัสที่จะอยู่นาน 3 สัปดาห์ ถ้าใช้รักษาให้ครบตามเวลา ก็จะทำให้ไม่กลับมาเป็นอีก
-มันเทศ (Ipomoea batatas (L.) Lam.) ตำรายาไทยจะใช้หัวมันเทศนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกแผล รักษาเริม และงูสวัด
-รางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ใบและรากมีสรรพคุณเป็นยาต้านการอักเสบต่าง ๆ เช่น อาการผดผื่นคัน แมลงสัตว์กัดต่อย เริม อีสุกอีใส รวมทั้งงูสวัด
-ว่านมหากาฬ (Gynura pseudochina (L.) DC.) ใช้ใบสดตำพอกรักษางูสวัด โดยใช้ใบสดประมาณ 5-6 ใบ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตำในภาชนะที่สะอาด ใส่พิมเสนเล็กน้อย หรือใช้ใบโขลกผสมกับเหล้า แล้วเอาน้ำที่ได้มาทาหรือพอกบริเวณที่เป็น
-เสลดพังพอนตัวผู้ (Barleria lupulina Lindl.) เสลดพังพอนตัวผู้ ให้ใช้ใบสด (ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป) ประมาณ 10-20 ใบ นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาว คั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำทาและเอากากพอกบริเวณที่เป็น (วิธีการใช้จะเหมือนกับเสลดพังพอนตัวเมีย แต่เสลดพังพอนตัวผู้จะมีฤทธิ์ทางยาอ่อนกว่าเสลดพังพอนตัวเมีย ชาวบ้านจึงนิยมใช้เสลดพังพอนมาทำเป็นยาเสียมากกว่า)
-เสลดพังพอนตัวเมีย หรือ พญายอ (Clinacanthus nutans (Burm.f.) Lindau) ให้ใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด ๆ ประมาณ 10-20 ใบ (เลือกเอาเฉพาะใบสดสีเขียวเข้มเป็นมน ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป) นำมาตำผสมกับเหล้าหรือน้ำมะนาวคั้นเอาน้ำดื่มหรือเอาน้ำมาทาและเอากากพอกบริเวณที่เป็น ส่วนตำรับยาแก้งูสวัดอีกตำรับจะใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมียสด ๆ นำมาผสมกับดอกลำโพง และโกฐน้ำเต้า อย่างละเท่ากัน รวมกันตำให้พอแหลก แช่กับเหล้า แล้วนำมาใช้ทาแก้แผลงูสวัด
-เหงือกปลาหมอ (Acanthus ebracteatus Vahl) ให้ใช้รากสดนำมาต้มเอาแต่น้ำ ใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคงูสวัดได้
ชาวบ้านมักมีความเชื่อ “ถ้าเป็นงูสวัดพันรอบเอวเมื่อใด จะทำให้ตายได้ ซึ่งไม่เป็นความจริงสักทีเดียวนะครับ เพราะในคนธรรมดาที่มีภูมิคุ้มกันปกติ งูสวัดจะไม่สามารถพันรอบตัวเราจนครบรอบเอวได้ เนื่องจากแนวเส้นประสาทของตัวเราจะมาสิ้นสุดที่บริเวณกึ่งกลางของลำตัวเท่านั้น จะไม่ลุกลามเข้ามาแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่งของร่างกาย และส่วนมากก็จะขึ้นเพียงข้างเดียวเท่านั้น อีกทั้งโรคนี้ก็มีโอกาสทำให้ตายได้น้อยมาก” คือถ้าจะเป็นอันตรายจริง ๆ ก็คงเกิดจากการอักเสบซ้ำจากเชื้อแบคทีเรียจนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษเสียมากกว่า หากใครเป็นงูสวัดก็ไม่ต้องกลัวหรือตื่นตกใจไปนะครับ เพราะในปัจจุบันนี้เราสามารถรักษาโรคงูสวัดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่อย่างไรก็ตาม งูสวัดที่จะเป็นรุนแรงทั่วร่างกายหรือพันรอบตัวนั้นอาจพบได้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เอดส์ ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ฯลฯ ถ้าเกิดเป็นงูสวัดขึ้นมาก็อาจทำให้ปรากฏขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกันจนดูเหมือนงูสวัดพันข้ามแนวกึ่งกลางลำตัวไปยังอีกซีกหนึ่งของร่างกายหรือเป็นงูสวัดทั่วร่างกายได้ ซึ่งแบบนี้อาจทำให้มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
ข้อมูลจาก http://health4friends.lnwshop.com