น้ำอัลคาไลน์หรือนํ้าด่างคืออะไร
น้ำอัลคาไลน์หรือนํ้าด่างคือ นํ้าดื่มที่สะอาดมีสภาพน้ำค่าความเป็นด่าง
และมีแร่ธาตุสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ไม่ว่าจะเป็น แคลเซียม โซเดียม
แมกนี่เซียม และโปรแทสเซียม ผสมอยู่ในน้ำ
และจะต้องไม่มีแร่ธาตุจำพวกโลหะหนักผสมอยู่
น้ำที่ได้ควรจะต้องมีโมเลกุลขนาดเล็ก
เพื่อสะดวกต่อการที่ร่างกายจะนำไปใช้งานในส่วนต่างๆของร่างกาย
เพื่อชำระล้างของเสียออกจากร่างกายตามทางออกต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นทางเป็นทางเหงื่อ ทางปัสสาวะ
ได้สะดวกยิ่งขึ้น หรือที่เรานิยมเรียกกันว่าการทำดีท็อคร่างกายนั่นเอง
สำหรับ
ผู้ที่ได้ดื่มน้ำอัลคาไลค์เป็น ประจำ
ร่างกายจะสามารถดูดซึ่มได้ดีกว่าน้ำดื่มประเภทอื่นๆอยู่หลายเท่า
จะทำให่ร่างกายไม่เกิดภาวะขาดน้ำ
ในการนี้ทางการแพทย์ได้มีมีการวิจัยแล้วว่า เชื้อมะเร็งเกิดขึ้น
และเติบโตได้ดีในสภาพที่เป็นกรด
ซึ่งมักเกิดแฝงมาจากอาหารการกินของเราเองจำพวก แป้ง เน้อสัตว์
และอื่นๆที่เรารู้เท่าไม่ถึงการ ร่างกายเราปรับสภาพไม่ทัน
ดังนั้นเครื่องทำน้ำดื่มอัลคาไลค์จึงได้มีความจำเป็นในการดื่มเข้าไปในร่าง
กายเพื่อที่จะได้ช่วยลดสภาพความเป็นกรดในร่างกายให้ดียิ่งขึ้นๆไป
และในน้ำดื่มอัลคาไลค์ที่ดีควรมีสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) ด้วย
น้ำอัลคาไลน์หรือนํ้าด่างดีอย่างไร
“มะเร็ง”
คือกลุ่มของโรคที่เซลล์แบ่งตัวอย่างผิดปกติรุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียงจนไม่
สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของ อนุมูลอิสระ (Free Radicle)
ซึ่งเป็นอะตอมที่ไม่มั่นคงเนื่องจากขาดอิเลกตรอน (ลักษณะประจุไฟฟ้าลบ)ไป 1
ตัว เมื่อผู้ถูกแย่งกลายเป็นตัวปัญหาเพราะตนไม่มั่นคง
ก็จะแย่งอิเล็กตรอนโมเลกุลอื่นมาเป็นทอดๆ
จนเกิดการรุกลามต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่และไม่สามารถหยุดยั้งได้
การสูญเสีย “อิเล็กตรอน” จึงเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะการสูญเสียอิเลกตรอนไม่ได้มีผลต่อสภาพร่างกายมนุษย์เท่านั่น
แม้แต่การเกิดสนิมของโลหะก็เกิดขึ้นเพราะมีปฏิกิริยาออกซิเดชั่น
(Oxidation)
ที่เกิดการสูญเสียอิเลกตรอนจนเกิดการทำปฏิกิริยาเคมีกับอากาศหรือน้ำและเกิด
สนิมในโลหะได้ด้วยเช่นกัน
ปัจจัยหนึ่งที่จะยกตัวอย่างก็คือสภาวะที่คนเราทานอาหารที่มีสภาพความเป็นกรด
สูงเกินพอดี ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยค่า PH (Power of
Hydrogen)ซึ่งเป็นวิธีการวัด ไฮโดรเจนอิออน
ซึ่งปกติแล้วน้ำซึ่งมีสูตรทางเคมีคือ H2O
โดยแบ่งออกเป็นไฮโดรเจนประจุบวกหรือ H+ กับ ส่วนที่เป็นประจุลบคือ OH-
มารวมตัวกันเป็นน้ำ ซึ่งถ้าในน้ำนั้นมีจำนวนไฮโดรเจนประจุบวก H+
มากกว่าประจุลบ OH- สภาพนั้นคือสภาพความเป็นกรด (Acid)
ในทางตรงกันข้ามในน้ำนั้นหากมีประจุลบใน OH- มากกว่าประจุบวกใน H+
สภาพนั้นก็จะเรียกว่าเป็น ด่าง (Alkaline)
ค่า
ความเป็นกรดด่างจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0-14 โดยค่าที่ต่ำกว่า 7
คือสภาพที่เป็นกรด ค่าที่เกินกว่าคือสภาพที่เป็นด่างคือสภาพที่
จากงานวิจัยในต่างประเทศพบว่าสภาวะปกติเลือด น้ำเหลือง และของเหลวในสันหลัง
จะมีค่า PH ที่ประมาณ 7.4 หรือที่ค่า PH ที่สูงกว่า 7.4
เล็กน้อยจะทำให้เซลล์มะเร็งคงตัว ในขณะที่หากสามารถทำให้มีค่า PH
อยู่ถึงระดับ 8.5 ได้ เซลล์มะเร็งก็จะตายลงในทันใด
ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะน้ำที่เป็นกรดหรือมีประจุบวก
H+มากเกินไป
โดยธรรมชาติก็จะพยายามดึงอิเลกตรอนจากเซลล์ต่างๆภายในร่างกายเราไปใช้มาก
ขึ้น หากเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้มากๆ
ก็จะทำให้โมเลกุลในร่างกายเรานั้นสูญเสียอิเล็กตรอน
ก็จะมีโอกาสที่จะเกิดเป็นสภาวะเป็นอนุมูลอิสระที่ลุกลามต่อไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งกลายเป็นมะเร็งได้ในที่สุด
ในทางตรงกันข้ามน้ำที่มีสภาพความเป็นด่างหรือมีประจุลบจาก OH-
อย่างเพียงพอก็จะช่วยในการชะลอการสูญเสียอิเลกตรอนจากเซลล์ต่างๆภายในร่าง
กายเราได้เช่นกัน
ในหลักสูตรล้างพิษตับของ
โรงเรียนผู้นำ ชาวสันติอโศกได้เคยตรวจสอบพบว่า
คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งร้ายแรง เมื่อตรวจน้ำลายด้วยกระดาษลิตมัส จะได้ค่า
PH เป็นกรดในระดับ 5 หรือตรวจในปัสสาวะก็จะมีสภาพความเป็นกรดสูงเช่นกัน
ดังนั้นใครสนใจว่าร่างกายตัวเรามีสภาพกรดหรือด่างมากหรือน้อยไปเพียงใดให้
ลองตรวจเบื้องต้นวัดที่น้ำลายและปัสสาวะโดยใช้กระดาษลิตมัสก็น่าจะได้ข้อมูล
ดังกล่าวได้
ดร.ออตโต้ วอร์เบิร์ก
นักวิทยาศาสตร์รางวันโนเบลเมื่อ พ.ศ. 2474
ได้เคยระบุการค้นพบว่าร่างกายมนุษย์นั้นเซลล์มะเร็งนั้นมักจะพบในที่ๆซึ่ง
ไม่มีออกซิเจนในร่างกาย
งานวิจัยชิ้นนี้ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าสภาพความเป็นกรดหรือไฟฟ้าประจุบวกมากๆ
ก็มีโอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยา ออกซิเดชั่น (Oxidation)
ร่างกายจนออกซิเจนซึ่งมีประจุลบในร่างกายนั้นถูกนำมาทำปฏิกิริยาจนบริเวณดัง
กล่าวไม่พบออกซิเจน
อนุมูลอิสระมีที่มาจากทั้งแหล่งภายนอกร่างกาย ได้แก่ มลพิษในอากาศ โอโซน
ไนตรัสออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ฝุ่น ควันบุหรี่
อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว น้ำอัดลม
และคนที่รับประทานเนื้อสัตว์มากโดยไม่ชอบทานผักและผลไม้ก็จะมีสภาวะความเป็น
กรดสูงมาก แม้แต่อารมณ์เครียดและโกรธ
ก็จะสร้างภาวะความเป็นกรดในร่างกายได้เช่นกัน
ใน
ทางตรงกันข้ามสารต้านอนุมูลอิสระหรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า Anti Oxidant
ก็อยู่ในพืชและผักหลายชนิด ได้แก ผักใบเขียว (เช่น ตำลึง และผักบุ้ง)
หรืออาหารที่มีสีเหลือง (เช่น มะละกอสุก, มะม่วงสุก, มะเขือเทศ, ฟักทอง)
รวมถึงอาหารที่มีวิตามิน A, C, E สูง เช่น พืช ผักสีเขียวและผลไม่รสเปรี้ยว
ซึ่งอาหารเหล่านี้ให้ฤทธิ์เป็นด่างทั้งสิ้น
ด้วยเหตุผลนี้สูตรค่ายสุขภาพวิถีพุทธของ หมอเขียว (นายใจเพชร กล้าจน) แห่งสันติอโศก จึงเน้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำคลอโรฟิลล์
เพราะสูตรผสมระหว่างย่านาง,ใบบัวบกและใบเตยนั้นนอกจากจะเป็นพืชที่ฤทธิ์เย็น
แล้ว ยังเป็นการปรับสมดุลฤทธิ์ด่างเพื่อลดความเป็นกรดในร่างกายได้ด้วย
ด้วย
เหตุผลนี้หลักสูตร ล้างพิษตับ ของสันติอโศก ที่ริเริ่มและพัฒนาหลักสูตรโดย
คุณแก่นฟ้า แสนเมือง และ คุณขวัญดิน สิงห์คำ และคณะ
จึงจัดทำน้ำด่างซึ่งทำมาจากน้ำที่บ่มกับขี้เถ้าแล้ว 7 วัน
ให้ผู้เข้าหลักสูตรเพื่อลดความเป็นกรดในร่างกาย
แม้ในต่างประเทศก็มีการนำน้ำฤทธิ์ด่างอย่างเช่น ที่ประเทศอิตาลี
มีคุณหมอคนหนึ่งชื่อ ดร.Tullion Simoncini ใช้เบคกิ้งโซดา
หรือโซเดียมไบคาร์บอเนต
(ซึ่งให้ฤทธิ์ด่าง)ผสมกับน้ำในสัดส่วนที่แตกต่างกันหลายแบบเพื่อใช้บำบัดให้
ผู้ป่วยมะเร็งหลายประเภทได้ดื่มรักษาได้ผลดีระดับหนึ่ง
แต่การวัดค่า PH อาจจะไม่พอ
เพราะจะวัดได้แค่ค่าของไฮโดรเจนในน้ำต่างๆเท่านั้น
แต่หากเป็นอาหารแล้วก็อาจจะมีสารอาหารอีกหลายชนิดที่สร้างประจุไฟฟ้าได้ด้วย
บางทีเราอาจจะต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างเพื่อวัดค่าไฟฟ้าว่าอาหารเหล่านั้นให้
ค่าสุทธิเป็นประจุไฟฟ้าบวกหรือลบที่จะมีการดึงหรือแย่งชิงอิเลกตรอนจากเซลล์
ต่างๆในร่างกายเราหรือไม่ อย่างไร?
อุปกรณ์
ที่ว่านั้นก็คือเครื่องมือวัดที่ชื่อ Oxidation Reduction Potential
หรือค่า ORP
เพื่อวัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าว่ามีประจุไฟฟ้าสุทธิเป็นบวกหรือลบมากน้อย
เพียงใดใช้หน่วยวัดเป็นมิลลิโวลต์ ซึ่งถ้าน้ำนั้นมีประจุบวกมากๆ
(ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำที่มีสภาพความเป็นกรด)
ก็จะเป็นอาหารหรือน้ำประเภทที่เป็น Oxidant ที่จะไปสร้างปฏิกิริยา
Oxidation หนุนการทำงานของอนุมูลอิสระมากขึ้นในร่างกายมากขึ้น
แต่ถ้ามีประจุไฟฟ้าลบ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำที่มีสภาพความเป็นด่าง)
ก็จะเป็นสารอาหารหรือน้ำที่ต้านการทำงานของอนุมูลอิสระได้เช่นกัน
จากการใช้เครื่องมือวัดค่า PH และค่า ORP ในน้ำชนิดต่างๆ
พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
1.
น้ำดื่มหลายประเภทในเวลานี้ในตลาดส่วนใหญ่มีสภาพความเป็นกรดอ่อนๆ และมีค่า
ORP เป็นบวกเล็กน้อยประมาณ +100 ถึง +200 มิลลิโวลต์
ในขณะที่น้ำอัดลมในตลาดเกือบทั้งหมดเป็นกรดที่แรงมากค่า PH ประมาณ 3 และค่า
ORP เป็น +400 ถึง +500 มิลลิโวลต์ ดังนั้นน้ำอัดลมจึงมีศักยภาพ
การทำ ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) สูง
และมีศักยภาพในการเสริมอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น
แนวโน้มผู้เป็นมะเร็งจึงควรจะงดน้ำประเภทเหล่านี้
2. น้ำที่ผ่านเครื่องไฟฟ้าทุกชนิดจะมีกระแสไฟฟ้าสุทธิประจุบวกเพิ่มมากขึ้น
พบว่าแม้ค่า PH จะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่เมื่อทดลองนำน้ำเปล่าไปปั่นในเครื่องปั่นในน้ำผลไม้ 2 นาที พบว่า มีค่า
ORP ที่วัดใน 30 นาทีจากเดิมก่อนปั่นพบว่ามีค่า ORP + 88 มิลลิโวลต์
หลังปั่นน้ำเปล่ามีค่า ORP เพิ่มขึ้นเป็น +110 มิลลิโวลต์
(ในเวลาที่เท่ากัน)
หรืออีกนัยหนึ่งน้ำเหล่านี้จะมีความสามารถในการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น
(Oxidation) เพิ่มเร็วขึ้นประมาณ 25%
ดังนั้นหากเลือกได้รับประทานผลไม้น่าจะดีกว่าดื่มน้ำผลไม้ปั่นจากเครื่อง
ไฟฟ้า
หรือทำน้ำคลอโรฟิลสดจากการบดคั้นด้วยมืออาจจะดีกว่าการปั่นด้วยเครื่องไฟฟ้า
3. น้ำดื่มและน้ำปั่นรวมถึงอาหารแทบทุกชนิด เมื่อทิ้งในอากาศนานขึ้นจะพบว่าค่า ORP จะสูงเป็นประจุบวกเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา
หมายความว่าอาหารและน้ำส่วนใหญ่เมื่อทำเสร็จใหม่ๆควรรีบรับประทานดีกว่า
ปล่อยทิ้งค้างไว้นาน มิเช่นนั้นนอกจากจะมีจุลินทรีย์ลงไปในอาหารมากขึ้นแล้ว
ร่างกายเรารับประทานอาหารที่มีศักยภาพในการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น
(Oxidation) เพิ่มมากขึ้น
4.
แม้แต่น้ำด่างที่ทำขึ้นมาจากขี้เถ้าก็ดี
แม้จากน้ำด่างจากเครื่องทำน้ำด่างที่ทำในต่างประเทศ
(ซึ่งก็มีกระแสไฟฟ้าผ่าน) ก็แม้จะมีประจุลบสุทธิในการวัดค่า ORP
ในตอนต้นแต่ก็ไม่เสถียร อีกทั้งจะสูญเสียอิเลคตรอนไปเรื่อยๆ เมื่อเจออากาศ
ความร้อน แสงแดด
ดังนั้นแม้เป็นน้ำด่างก็ควรจะดื่มให้เร็วมากกว่าจะทิ้งค้างนานไว้เช่นกัน
5. เมื่อตรวจในน้ำปัสสาวะของมนุษย์ พบว่าแม้ค่า PH และค่า ORP
ในปัสสาวะของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
แต่พบสิ่งที่เหมือนกันก็คือเมื่อทิ้งไว้นานจะเกิดการย่อยสลายเกิดก๊าซและคาย
พลังงานออกมาเป็นไฟฟ้าประจุลบมากขึ้น และกลายเป็นด่างมากขึ้น
พบว่าบางคนมีสุขภาพปกติได้ตรวจปัสสาวะใน 3 นาทีแรกได้ค่า PH 7.2 และวัดค่า
ORP ได้ +64 มิลลิโวลต์ เมื่อเวลาผ่านไป 3
ชั่วโมงครึ่งพบว่ามีภาวะความเป็นด่างเพิ่มมากขึ้นกลายเป็น 7.5 และค่า ORP
กลายเป็น -3 มิลลิโวลต์
นอกจากนั้นเมื่อสำรวจในผู้ป่วยมะเร็งรายหนึ่งพบว่าเมื่อวัดค่า PH
ในปัสสาวะพบว่าเริ่มแรกอยู่ที่ 7.1
แต่เมื่อทิ้งใส่ถ้วยแก้วไว้กลับมีอัตราเร่งในการเป็นด่างเร็วมากกว่าคนปกติ
และมีค่าประจุลบเพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติธรรมดา จนเมื่อเวลาผ่านไป 30
ชั่วโมงพบว่าปัสสาวะกลายเป็นด่างมีค่า PH 9.8
ดังนั้นผู้ที่เลือกดื่มปัสสาวะในการบำบัดรักษาโรค
(โดยเฉพาะกลุ่มสันติอโศกจำนวนหนึ่ง)
ที่ได้ปฏิบัติตามที่ระบุเอาไว้ในพระไตรปิฎกเพราะความศรัทธาแล้ว
ในภายหลังต่อมาจึงมีการอธิบายทางวิชาการถึงรักษาแบบ “เซรุ่ม”หรือ
“พิษต้านพิษ”จากปัสสาวะในการรักษาโรค แต่ที่ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อนก็คือ
ปัสสาวะอาจมีสภาวะความเป็น Anti Oxidant
ตามธรรมชาติที่เป็นด่างเพิ่มมากขึ้นและคายพลังงานประจุลบมากขึ้นเมื่อเวลา
เปลี่ยนไป
จะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนหายป่วยจากโรคต่างๆด้วยปัสสาวะบำบัดหรือไม่?
จาก ธรรมชาติดอทคอม,บทความ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ที่มา http://health4friends.lnwshop.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น