วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความรู้เกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบ บี

โรคไวรัสตับอักเสบ บี คืออะไร

โรค ตับอักเสบ บี เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบ บีโดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการ อักเสบและทำลายตับ

เชื้อไวรัสตับอักเสบติดต่อได้อย่างไร

เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถติดต่อทาง เลือด น้ำเชื้อ และน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง ท่านสามารถรับเชื้อได้โดยวิธี
  • มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยาง การจูบกันจะไม่ติดต่อถ้าปากไม่มีแผล
  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน และการเจาะหู
  • ใช้แปรงสีฟันร่วมกัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ
  • แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ 90 %และให้นมตัวเอง
  • ถูกเข็มตำจากการทำงาน
  • รักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่
  • โดยการสัมผัสกับ เลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โยผ่านเข้าทางบาดแผล
เชื้อนี้จะไม่ติดต่อกันทางลมหายใจ อาหาร หรือน้ำดื่ม การให้นม การจูบกัน

อาการของผู้ป่วยโรคตับอักเสบ บี
     
   ส่วน ใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี มักไม่มีอาการป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก โดยผู้ป่วยจะมีอาการเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีไข้ต่ำ ๆ ในวันแรก ๆ มีอาการจุกแน่นท้อง ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง มีปัสสาวะสีเข้ม อาการเหมือนดีซ่าน เป็นอยู่ 2-3 สัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วจะหายเป็นปกติ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจทำให้ตับเสีย มีอาการเพ้อคลั่ง ซึม มีน้ำในท้อง ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด ทั้งนี้ ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ คือ 30 - 180 วัน โดยเฉลี่ยคือ 60 - 90 วัน โดยทั่วไปผู้ที่ได้รับเชื้อร้อยละ 90 จะสามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ และหายเป็นปกติ พร้อมกับสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ตลอดชีวิต ซึ่งเราสามารถตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบว่ามีภูมิต้านทานโรคไวรัสตับอักเสบหรือไม่ได้
อย่าง ไรก็ตาม ก็ยังมีบางคนที่ยังมีเชื้ออยู่ในร่างกายอยู่ หรือเรียกว่าเป็นพาหะ แต่ตับยังทำงานได้ตามปกติ ไม่เกิดความผิดปกติแต่อย่างใด แต่ผู้ที่เป็นพาหะนี้ ก็มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งตับมากกว่าคนปกติถึง 223 - 250 เท่า และ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะเสียชีวิต เนื่องจากโรคตับอักเสบเรื้อรัง, ตับแข็ง และมะเร็งตับ แต่อย่างไรก็ตามผู้ที่จะเป็นโรคตับร้ายแรงเหล่านี้ จะต้องมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในตัวนานกว่า 20-30 ปีขึ้นไป นั่นคือ ต้องได้รับเชื้อมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง


ผลของการเป็นไวรัสตับอักเสบ บี หลังจากเป็นไวรัสตับอักเสบ บีจะมีการดำเนินของโรคดังนี้
  1. 90%ของผู้ป่วยหายขาดกล่าวคือภายใน 10 สัปดาห์การทำงานของตับกลับสู่ปกติ และมีภูมิคุ้มกัน
  2. ผู้ป่วยส่วนหนึ่งตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี HbAg + แต่การทำงานของตับปกติ พวกนี้สามารถติดต่อผู้อื่นเรียก carrier
  3. 5-10%จะ เป็นตับอักเสบเรื้อรัง Chronic hepatitis ผู้ป่วยกลุ่มนี้เจาะเลือดจะพบการทำงานของตับผิดปกติเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนและยังตรวจพบเชื้อตลอด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการอักเสบของตับเป็นระยะๆ บางรายเป็นตับแข็ง บางรายเป็นมะเร็งตับ
หากรู้ว่าเป็น "พาหะ" ไวรัสตับอักเสบบี ควรทำอย่างไร

               1. รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์ และสามารถทานอาหารร่วมกับผู้อื่นได้ โดยใช้ช้อนกลาง
           2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตับ เช่น การทานยาบางชนิด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารพิษจากเชื้อรา เป็นต้น
           3. หากพบอาการผิดปกติ เช่น เท้าบวม ท้องบวม อุจจาระเป็นสีดำ ตัวเหลือง ตาเหลือง ควรรีบปรึกษาแพทย์
           4. เจาะเลือดปีละครั้ง เพื่อตรวจการทำงานของตับ และตรวจหาสารแอลฟา ฟีโตโปรตีน (Alpha Fetoprotein) ในเลือด ที่บ่งบอกว่าจะเกิดมะเร็งตับหรือไม่ และจะตรวจถี่ขึ้นในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
           5. งดบริจาคเลือด และแยกใช้ข้าวของเครื่องใช้ เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น
           6. ให้บุคคลใกล้ชิดเข้ารับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เพื่อสร้างภูมิต้านทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กแรกเกิดควรได้รับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม การให้วัคซีนแก่ผู้ที่เป็นพาหะแล้ว ไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสให้หมดไปได้


หากรู้ว่าเป็น ไวรัสตับอักเสบบี ควรทำอย่างไร
   

       แม้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี จะสามารถหายได้เอง และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ แต่เมื่อตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ก็ควรปฏิตัวดังนี้
           1. ทานยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
           2. ตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทราบอาการว่า เป็นมากหรือน้อย
           3. บอกคนใกล้ชิดให้ทราบ เพื่อป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน
           4. งดการบริจาคเลือดโดยเด็ดขาด
           5. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่งผลร้ายต่อตับ
           6. ไม่ควรใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะจะมีผลต่อตับโดยตรง
           7. พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้การอ่อนเพลียลดลง
           8. สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันเชื้อที่จะส่งต่อไปยังผู้อื่น
           9. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูง น้ำหวาน เพราะจะทำให้เกิดไขมันสะสมที่ตับ จึงควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย


จาก กระปุกดอทคอม , สยามเฮลท์ดอทคอม
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ที่มา http://health4friends.lnwshop.com

1 ความคิดเห็น:

  1. ทางเลือกใหม่ที่ทุกคนใช้แล้วมีผลตอบรับดีมากๆ สุขภาพที่ดีไม่ใช่จะต้องดูแลแค่ภายนอก ต้องดูแลภายในด้วย แนะนำสมุนไพรพลูคาว 100% สกัดจากใบพลูคาวที่จะช่วยยับยั้งทำลายเชื้อไวรัส และเซ็ลล์มะเร็ง เชื้อ Hiv หูดหงอนไก่ สเก็ดเงิน ริดสีดวง เบาหวาน ไต ไทรอย ไวรัสตับอักเสบบี อัมพฤกษ์ อัมพาต หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ภูมิแพ้ โรคพุ่มพวง ไซนัส
    อยากหายจากการป่วยที่เรื้อรังไว้ใจเราครับ
    ผ่าน อย. และได้รับรางวัล ผลิตภัณฑ์ดีเด่นแห่งปี 2558 ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายของเราให้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่างๆที่จะมาทำลายสุขภาพของเรา
    สอบถามเพิ่มเติม tel. 0959279523 ID line. Aofaudio0502
    สอบถามผ่านไลน์ก่อนได้ครับ อย่ามัวแต่อายครับสอบถามมาก่อนได้

    ตอบลบ